ระดับแอลกอฮอล์ในเลือดเท่าไหร่ ห้ามขับรถ เข้าข่ายเมาแล้วขับ

สิ่งที่ผู้ขับขี่ทุกคนต้องรู้ คือ ตามกฎหมายไทยจะมี “เกณฑ์ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด” ที่ถูกกำหนดไว้อย่างชัดเจน เมื่อไหร่ที่ตรวจพบเกินจากนี้ ก็เข้าข่ายผิดกฎหมายทันที วันนี้จะพาทุกคนไปทำความเข้าใจว่า วัดระดับแอลกอฮอล์ไม่เกินเท่าไรถึงไม่เข้าข่ายเมาแล้วขับ? ระดับแอลกอฮอล์ในเลือดเท่าไหร่ถึงห้ามขับรถ? หากเมาแล้วขับจะโดนโทษอะไรบ้าง? ประกันรถยนต์จะคุ้มครองหรือไม่หากเกิดอุบัติเหตุ? และนอกจากการตรวจเป่าลมหายใจแล้ว มีวิธีตรวจอื่น ๆ อีกไหม? พร้อมเคล็ดลับเลือกใช้บริการกลับบ้านให้ปลอดภัยหลังปาร์ตี้

Highlight

 

ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเท่าไหร่ ถึงเข้าข่ายเมาแล้วขับ

ต้องมีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเท่าไหร่ ถึงเข้าข่ายเมาแล้วขับ?

แอลกอฮอล์ ห้ามเกินเท่าไหร่? ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดที่เข้าข่าย “เมาแล้วขับ” ตามกฎหมายในประเทศไทย คือ

  • ผู้ขับขี่ทั่วไปที่มีอายุเกิน 20 ปี (บุคคลทั่วไป) หากตรวจพบปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ จะเข้าข่ายผิดฐานเมาแล้วขับ
  • ผู้ขับขี่ที่อายุต่ำกว่า 20 ปี หรือ มีใบขับขี่ชั่วคราว หรือผู้ไม่มีใบขับขี่ หรืออยู่ระหว่างถูกพักใช้/เพิกถอนใบขับขี่ หากตรวจพบปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 20 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ จะเข้าข่ายผิดฐานเมาแล้วขับเช่นกัน

 

เมาแล้วขับมีโทษปรับอะไรบ้าง

เมาแล้วขับมีโทษปรับอะไรบ้าง?

เมื่อรู้แล้วว่า ระดับแอลกอฮอล์ในเลือดเท่าไหร่ถึงห้ามขับรถ มาดูกัน หากเมาแล้วขับ จะมีโทษตามกฎหมายอย่างไร โดยบทลงโทษสามารถแบ่งออกเป็น 2 กรณีด้วยกัน คือ

เมาแล้วขับครั้งที่ 1 (ครั้งแรก) จำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับ 5,000 – 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
เมาแล้วขับซ้ำภายใน 2 ปี จำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับ 50,000 – 100,000 บาท

หมายเหตุ: อาจถูกพักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ด้วย

นอกจากนี้ ยังมีบทลงโทษอื่น ๆ อีกได้แก่

  • กรณีเมาแล้วขับเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่ร่างกาย: โทษจำคุก 1 – 5 ปี ปรับ 20,000 – 100,000 บาท และพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ไม่ต่ำกว่า 1 หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่
  • กรณีเมาแล้วขับเป็นเหตุให้ผู้อื่นบาดเจ็บสาหัส: โทษจำคุก 2 – 6 ปี ปรับ 40,000 – 120,000 บาท และพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ไม่ต่ำกว่า 1 หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่
  • กรณีเมาแล้วขับเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย: โทษจำคุก 3 – 10 ปี ปรัย 60,000 – 200,000 บาท และเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่

 

“เมาแล้วขับ” ประกันภัยคุ้มครองหรือไม่?

เมื่อเกิดอุบัติเหตุจาก “เมาแล้วขับ” ประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ (เช่น ประกันชั้น 1, 2+, 3+) จะไม่คุ้มครองผู้เอาประกัน หากตรวจพบว่า มีแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ และผู้เอาประกันต้องรับผิดชอบค่าเสียหายของรถยนต์เอง

ส่วนประกันภัยภาคบังคับ (พ.ร.บ.) ยังคงคุ้มครอง เฉพาะค่ารักษาพยาบาล แต่จะไม่คุ้มครองค่าเสียหายรถยนต์ อย่างไรก็ตาม ทุกคนต้องระวัง และควรหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ก่อนขับขี่ทุกกรณี เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง และคนรอบข้าง

 

ไม่สะดวกเป่าแอลกอฮอล์ ต้องทำอย่างไร

หากไม่สะดวกเป่าแอลกอฮอล์ ต้องทำอย่างไร?

แล้วถ้าไม่สะดวกเป่าแอลกอฮอล์หรือไม่สามารถวัดปริมาณแอลกอฮอล์ได้จากลมหายใจ ต้องทำยังไง? มาดูกันว่า สามารถวัดแอลกอฮอล์ด้วยวิธีใดบ้าง และทำอย่างไร

  • การเป่าลมหายใจ (Breath Alcohol Test)

วิธีที่ใช้ตรวจบ่อยที่สุด เพื่อวัดระดับแอลกอฮอล์ ดูว่าไม่เกิน เท่าไร ได้แก่ การเป่าลมหายใจ เพราะให้ผลทันที โดยผู้ขับขี่ต้องเป่าต่อเนื่องประมาณ 6 วินาที และผลตรวจมีความแม่นยำ อาจคลาดเคลื่อนบวกลบไม่เกิน 0.01%

  • การตรวจเลือด (Blood Alcohol Test)

วิธีต่อมาที่ใช้เมื่อไม่สามารถตรวจทางลมหายใจ คือ การตรวจเลือด โดยจะต้องส่งตัวผู้ขับขี่ไปโรงพยาบาลใกล้เคียง และเก็บตัวอย่างเลือดส่งตรวจ ซึ่งวิธีนี้จะได้ผลที่แม่นยำที่สุด

  • การตรวจปัสสาวะ (Urine Alcohol Test)

สุดท้าย การตรวจปัสสาวะ เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ตรวจเลือดหรือเป่าลมหายใจไม่ได้ เช่น มีปัญหาสุขภาพ โดยผลตรวจปัสสาวะจะมีความแม่นยำน้อยกว่าการเจาะเลือด

 

การตรวจวัดแอลกอฮอล์โดยเจ้าหน้าที่ มีขั้นตอนอย่างไร?

  1. ตั้งด่านและเรียกตรวจ: เจ้าหน้าที่จะตั้งด่านจราจรหรือเรียกตรวจผู้ขับขี่ในจุดที่กำหนด
  2. สังเกตอาการ: เจ้าหน้าที่จะสังเกตว่า ผู้ขับขี่มีพฤติกรรมที่ดูเข้าข่ายมึนเมาหรือไม่
  3. ตรวจด้วยเครื่องเป่าลมหายใจ: ให้ผู้ขับขี่เป่าลมหายใจเข้าเครื่อง เพื่อวัดค่าปริมาณแอลกอฮอล์
  4. ตรวจเลือดหรือปัสสาวะ: (กรณีไม่สะดวกเป่า) หากไม่สามารถตรวจด้วยเครื่องเป่าได้ หรือผู้ขับขี่ไม่สะดวก ให้ทำการตรวจโดยเจาะเลือด หรือเก็บตัวอย่างปัสสาวะ ส่งตรวจที่โรงพยาบาล
  5. บันทึกผลการตรวจ: เจ้าหน้าที่บันทึกผลการตรวจตามมาตรฐาน และข้อกฎหมาย เพื่อใช้ผลตรวจเป็นหลักฐานในคดีจราจร

 

ข้อควรรู้เกี่ยวกับการตรวจวัดแอลกอฮอล์ มีอะไรบ้าง?

มาสรุปข้อควรรู้สั้น ๆ เกี่ยวกับการตรวจวัดแอลกอฮอล์ว่า วัดระดับแอลกอฮอล์ไม่เกินเท่าไรถึงไม่เข้าข่ายเมาแล้วขับหรือระดับแอลกอฮอล์ในเลือดเท่าไหร่ ห้ามขับรถ

  1. วิธีตรวจที่ใช้บ่อย คือ การเป่าลมหายใจด้วยเครื่อง Breathalyzer และสามารถรู้ผลทันที
  2. ถ้าตรวจเป่าไม่ได้ สามารถเจาะเลือดหรือเก็บปัสสาวะส่งตรวจแทน
  3. เกณฑ์กฎหมายไทย: ระดับแอลกอฮอล์เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ถือว่าเมาแล้วขับ (อายุเกิน 20 ปี), เกิน 20 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ถ้าต่ำกว่า 20 ปี

 

อ่านจนถึงตรงนี้ คงไขข้อสงสัยได้แล้วว่า วัดระดับแอลกอฮอล์ ไม่เกินเท่าไรถึงไม่เข้าข่ายเมาแล้วขับ และเกินเท่าไรถึงเข้าข่าย ทางที่ดี อย่าเสี่ยงขับรถเองถ้าดื่มเข้าไปแล้ว หลังจากสนุกในยามค่ำคืนแล้ว หากรู้สึกว่า เมา ร่างกายไม่พร้อมกับการขับรถกลับบ้านก็แค่เปิดแอปฯ เลือกใช้บริการ GrabDriveYourCar ให้คนขับมืออาชีพพาทั้งคุณ และรถกลับถึงบ้านแบบปลอดภัย สะดวก ไม่ต้องกังวล ปลดล็อคความสนุกทุกทริป พร้อมกลับบ้านแบบไร้กังวล

ส่วนใครที่อยากหาโอกาสเพิ่มช่องทางสร้างรายได้ อย่ารอช้า มาสมัครเป็นพาร์ตเนอร์คนขับกับ Grab ไม่ว่าจะ GrabCar หรือ GrabBike เพื่อสร้างรายได้ที่มั่นคงไปด้วยกัน

 

FAQ

Q: แอลกอฮอล์ 50 มิลลิกรัม เปอร์เซ็นต์ คือ ประมาณ เท่าไร

A: หากระดับแอลกอฮอล์ในเลือดอยู่ที่ประมาณ 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ สามารถเทียบได้เท่ากับเบียร์ 2 กระป๋อง

Q: หากไม่ยอมตรวจวัดแอลกอฮอล์จะเป็นอย่างไร?

A: หากปฏิเสธการตรวจหรือฝ่าฝืนไม่เป่าเท่ากับถูกสันนิษฐานว่า ผิดเมาแล้วขับโดยปริยาย และถูกดำเนินคดีได้ทันที

Q: ถ้าไปเที่ยวแล้วเมา ขากลับควรทำอย่างไรดี?

A: เพื่อความปลอดภัยแนะนำให้ใช้บริการ Grab หรือ GrabDriveYourCar เพราะสามารถพาคุณถึงบ้านโดยไม่ต้องเสี่ยงขับรถเอง แค่กดเรียกผ่านแอป ก็มีคนขับมืออาชีพมารับถึงที่ เดินทางได้ทุกเวลา สบายใจ และปลอดภัยที่สุด

Q: ถ้าต้องการเรียก GrabDriveYourCar ต้องทำอย่างไร?

A: ใช้งานผ่านแอป Grab เลือกจุดรับรถ และจุดหมายปลายทางที่ต้องการให้รถไปส่ง หลังจากนั้น ผู้ให้บริการจะเดินทางไปถึงจุดรับ เพื่อขับรถของคุณกลับบ้านอย่างปลอดภัย

Q: สามารถใช้บริการ GrabDriveYourCar ได้เวลาไหนบ้าง?

A: สามารถเรียกใช้บริการ GrabDriveYourCar ได้ทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง โดยช่วงเวลาที่มีผู้ใช้บริการมาก คือ วันศุกร์ถึงวันอาทิตย์ เวลา 22:00 – 03:00 น

 

แหล่งอ้างอิง:

กฎหมายเมาแล้วขับฉบับใหม่: เข้มงวดเพื่อความปลอดภัยบนท้องถนน จาก สำนักงานกิจการยุติธรรม

เปิดระดับแอลกอฮอล์ในเลือด ดื่มเท่าไหร่ ส่งผลต่อร่างกายอย่างไร จาก Hfocus

GrabDriveYourCar จาก Grab