แจกวิธีคิดเปอร์เซ็นต์แบบง่าย ๆ ที่พ่อค้าแม่ค้าทุกคนต้องรู้

หนึ่งสิ่งที่พ่อค้าแม่ค้าหรือเจ้าของธุรกิจทุกคนควรรู้ไว้ คือ การคิดเปอร์เซ็นต์ เพราะไม่ว่าจะเป็นการคำนวณกำไร ขาดทุนหรือค่าคอมมิชชัน ล้วนเกี่ยวพันกับ “เปอร์เซ็นต์” ทั้งสิ้น ซึ่งหลายคนอาจมองว่า การคิดเปอร์เซ็นต์เป็นเรื่องซับซ้อน แต่จริง ๆ แล้วทำได้ง่ายมาก แค่มีตัวเลขต้นทุนหรือยอดขาย และเครื่องคิดเลขสักเครื่องก็พอ บทความนี้จะมาแจกวิธีคิดเปอร์เซ็นต์แบบง่าย ๆ ฉบับคนค้าขายที่ใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน

Highlight

 

 เปอร์เซ็นต์ คืออะไร

เปอร์เซ็นต์ คืออะไร?

เปอร์เซ็นต์ คือ วิธีบอกสัดส่วนของสิ่งใดสิ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับทั้งหมด โดยใช้หน่วย “ต่อร้อย” และสัญลักษณ์ % เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น เช่น ถ้าบอกว่าได้กำไร 20% หมายความว่า จากต้นทุนทุก 100 บาท มีกำไร 20 บาท โดยเปอร์เซ็นต์ทำให้เรามองเห็นภาพ และเปรียบเทียบได้ชัดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกำไร–ขาดทุน ค่าคอมมิชชัน คะแนนสอบ หรือแม้แต่อัตราดอกเบี้ย

 

วิธีคิดเปอร์เซ็นต์จากยอดขายให้ได้ตามเป้า คิดอย่างไร

วิธีคิดเปอร์เซ็นต์จากยอดขายให้ได้ตามเป้า คิดอย่างไร?

วิธีคิดเปอร์เซ็นต์จากยอดขายเทียบกับเป้าหมาย เป็นวิธีที่ช่วยให้เรารู้ว่า ปัจจุบันทำยอดขายไปแล้วกี่เปอร์เซ็นต์ของเป้าที่ตั้งไว้ และยังขาดอีกเท่าไหร่ถึงจะถึงเป้า

  • เปอร์เซ็นต์ยอดขายตามเป้า = (ยอดขายที่ทำได้ ÷ เป้ายอดขาย) × 100

วิธีทำ

  1. นำ ยอดขายปัจจุบัน (ยอดที่ขายได้จริงจนถึงตอนนี้) หารด้วย ยอดขายเป้าหมาย
  2. คูณด้วย 100 เพื่อแปลงเป็นเปอร์เซ็นต์
  3. เปรียบเทียบกับ 100% เพื่อดูว่าถึงเป้าหรือยัง

ตัวอย่าง

  • เป้าหมายยอดขายเดือนนี้ = 100,000 บาท
  • ยอดขายปัจจุบัน = 75,000 บาท

คำนวณ: 75,000 ÷ 100,000 × 100 = 75%

สรุป: ตอนนี้ทำได้ 75% ของเป้า เหลืออีก 25% หรือ 25,000 บาท จึงจะถึงเป้า

 

วิธีคิดเปอร์เซ็นต์ส่วนลดสินค้า คิดอย่างไร

วิธีคิดเปอร์เซ็นต์ส่วนลดสินค้า คิดอย่างไร?

การทำส่วนลดสินค้าเป็นวิธีช่วยกระตุ้นยอดขายที่ได้ผลเร็ว เพราะทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าซื้อคุ้ม และตัดสินใจง่ายขึ้น แต่ก็ต้องกำหนดเปอร์เซ็นต์ส่วนลดให้พอดี เพื่อไม่ให้กระทบกำไรมากเกินไป ดังนั้นพ่อค้าแม่ค้าควรรู้การคิดเปอร์เซ็นต์ส่วนลดให้ถูกต้อง เพื่อช่วยตั้งราคา และวางแผนโปรโมชันได้อย่างแม่นยำ

  • สินค้าราคา 3,000 บาท ต้องการลด 30%
  • ส่วนลด = 3,000 × 30% = 900 บาท ดังนั้น ราคาหลังหักส่วนลด = 2,100 บาท

 

วิธีการคิดเปอร์เซ็นต์ค่าคอมมิชชัน คิดอย่างไร?

ค่าคอมมิชชัน คือ เงินตอบแทนที่คำนวณจากผลงานการขายหรือผลลัพธ์ที่ทำได้ ซึ่งในหลายธุรกิจจะคิดเป็น “เปอร์เซ็นต์” ของยอดขายหรือกำไร วิธีคิดเปอร์เซ็นต์ค่าคอมมิชชันทำได้ไม่ยาก โดยวิธีคิดเปอร์เซ็นต์ค่าคอมมิชชันแบบง่าย ๆ คือ

  • ยอดขาย x เปอร์เซ็นต์ค่าคอมมิชชัน ÷ 100 = จำนวนเงินค่าคอมมิชชัน

เช่น ถ้าคุณขายของได้ 80,000 บาท และได้เปอร์เซ็นต์ค่าคอมมิชชัน 8% ให้นำ 80,000 x 8 และหาร 100  =  6,400 หมายความว่า คุณได้ค่าคอมมิชชัน 6,400 บาทของยอดขายทั้งหมด

 

วิธีการคิดเปอร์เซ็นต์กำไร-ขาดทุน คิดอย่างไร

วิธีการคิดเปอร์เซ็นต์กำไร-ขาดทุนทำอย่างไร?

การค้าขายไม่ใช่แค่ตั้งราคาขายให้สูงกว่าราคาทุน แต่ต้องรู้ด้วยว่า กำไรหรือขาดทุนกี่เปอร์เซ็นต์ เพื่อช่วยตัดสินใจตั้งราคาขายที่เหมาะสม วางแผนต้นทุน และคุมความเสี่ยงทางการเงิน มาดูการคิดเปอร์เซ็นต์กำไร – ขาดทุนกันเลย

วิธีคิดว่าได้กำไรกี่เปอร์เซ็นต์ทำอย่างไร?

  • กำไร ÷ ต้นทุน x 100 = เปอร์เซ็นต์กำไร

วิธีทำ:

  1. เอาราคาขาย ลบด้วย ราคาทุน → จะได้ “ตัวเลขกำไร”
  2. เอาตัวเลขกำไร หารด้วย ราคาทุน
  3. คูณด้วย 100 เพื่อให้เป็นเปอร์เซ็นต์

ตัวอย่าง:

  • ราคาทุน = 200 บาท
  • ราคาขาย = 260 บาท

กำไร = 260 – 200 = 60

เปอร์เซ็นต์กำไร = 60/200 ×100 = 30%  สรุป: ขายสินค้านี้ได้กำไร 30%

 

วิธีคิดว่าขาดทุนกี่เปอร์เซ็นต์ทำอย่างไร?

  • ส่วนต่างที่ขาด ÷ ต้นทุน x 100 = เปอร์เซ็นต์ขาดทุน

วิธีทำ:

  1. เอาราคาทุน ลบด้วย ราคาขาย → จะได้ “ตัวเลขขาดทุน”
  2. เอาตัวเลขขาดทุน หารด้วย ราคาทุน
  3. คูณด้วย 100 เพื่อให้เป็นเปอร์เซ็นต์

ตัวอย่าง:

  • ราคาทุน = 200 บาท
  • ราคาขาย = 170 บาท

ขาดทุน = 200 – 170 = 30

เปอร์เซ็นต์ขาดทุน = 30/200 × 100 = 15% สรุป: ขายสินค้านี้ขาดทุน 15%

 

วิธีการคิดภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ทำอย่างไร?  

ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) คือ ภาษีทางอ้อมที่ผู้บริโภคเป็นผู้รับภาระ โดยผู้ขายสินค้าหรือผู้ให้บริการจะเป็นผู้จัดเก็บจากลูกค้าแล้วนำส่งให้กรมสรรพากร ซึ่งอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มในประเทศไทยปัจจุบันอยู่ที่ 7% ของราคาสินค้าหรือบริการ

การคิดภาษีมูลค่าเพิ่มทำได้ไม่ยาก โดยใช้สูตรพื้นฐานดังนี้

สูตร: ราคาสินค้า × 7 ÷ 100 = ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)

เมื่อคำนวณได้ภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว ให้นำไปบวกกับราคาสินค้าเดิม เพื่อได้ราคารวมภาษี (ราคาขายจริงที่ลูกค้าต้องจ่าย)

สูตรราคารวม VAT: ราคาสินค้า + ภาษีมูลค่าเพิ่ม = ราคารวมทั้งหมด

ตัวอย่าง:
หากสินค้ามีราคาขาย 2,500 บาท
ภาษีมูลค่าเพิ่ม = 2,500 × 7 ÷ 100 = 175 บาท
ดังนั้น ราคารวม VAT = 2,500 + 175 = 2,675 บาท

 

เคล็ดลับบริหารเงินอย่างไรให้ธุรกิจไม่ขาดทุน? 

นอกจากการรู้วิธีคิดเปอร์เซ็นต์จากยอดขายแล้ว การบริหารจัดการเงินอย่างมีประสิทธิภาพก็เป็นอีกหนึ่งทักษะสำคัญที่ผู้ประกอบการต้องมี มาดูเคล็ดลับการบริหารการเงินที่จะช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างมั่นคง และไม่ขาดทุนกัน 

  1. แยกบัญชีส่วนตัวออกจากธุรกิจ 

การแยกบัญชีเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการมักมองข้าม การรวมบัญชีส่วนตัวกับธุรกิจจะทำให้เกิดความสับสนในการบริหารจัดการเงิน และยากต่อการติดตามผลประกอบการที่แท้จริง ควรแยกบัญชีให้ชัดเจน และจัดทำงบการเงินแยกส่วนเพื่อให้เห็นภาพรวมของธุรกิจได้ชัดเจนยิ่งขึ้น 

  1. ทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายให้ละเอียด 

การจดบันทึกรายรับรายจ่ายทุกรายการอย่างละเอียด จะช่วยให้เห็นพฤติกรรมการใช้เงินของธุรกิจ ทำให้สามารถวิเคราะห์ค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น ตัดทอนรายจ่ายที่สิ้นเปลือง และวางแผนการใช้เงินในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น 

  1. สำรองเงินไว้เผื่อฉุกเฉิน 

ธุรกิจควรมีเงินสำรองไว้ใช้ยามฉุกเฉินอย่างน้อย 3-6 เดือนของค่าใช้จ่ายรวม เพื่อรับมือกับสถานการณ์ไม่คาดคิด เช่น ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ยอดขายตกต่ำ หรือมีค่าใช้จ่ายฉุกเฉินที่ไม่ได้วางแผนไว้ การมีเงินสำรองจะช่วยให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้อย่างมั่นคง 

  1. ประเมินความเสี่ยงในการลงทุน 

ก่อนตัดสินใจลงทุนใด ๆ ควรวิเคราะห์ความเสี่ยงอย่างรอบด้าน ทั้งปัจจัยภายในและภายนอก ประเมินผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับ และพิจารณาความคุ้มค่าในการลงทุน รวมถึงวางแผนรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น คุมค่าใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง

 

การรู้จัก และเข้าใจวิธีการคิดเปอร์เซ็นต์ ไม่ว่าจะเป็นเปอร์เซ็นต์กำไร ขาดทุน หรือค่าคอมมิชชัน ถือเป็นทักษะสำคัญที่พ่อค้าแม่ค้าไม่ควรมองข้าม เพราะช่วยให้วางแผนต้นทุนได้อย่างแม่นยำ สามารถตั้งราคาขายได้เหมาะสม และควบคุมกำไรขาดทุนได้อย่างรอบคอบ

และถ้าคุณอยากเพิ่มโอกาสขายได้มากขึ้น เข้าถึงลูกค้าได้กว้างกว่าเดิม อย่ารอช้า รีบมาสมัครเป็นพาร์ทเนอร์ร้านค้ากับ Grab ที่นอกจากจะได้ระบบจัดการออเดอร์ที่สะดวก สามารถเข้าถึงลูกค้าจำนวนมากแล้ว ยังมีฟีเจอร์ช่วยโปรโมทร้านให้ยอดขายเติบโต สมัครง่าย พร้อมเริ่มขายได้ทันที

และ Grab ก็สามารถรับออเดอร์ GrabFood ได้ผ่านเครื่อง POS หมดปัญหาเรื่องการบริหารจัดการหน้าร้านและออเดอร์เดลิเวอรี ลงทะเบียนสนใจใช้งาน POS วันนี้ รับสิทธิ์พิเศษทันที

  1. ฟรีค่าระบบสูงสุด 1 ปี
  2. ลดสูงสุด 20% ค่าเครื่อง POS
  3. เพิ่มส่วนลดหน้าร้าน 10% จาก GrabFood Dine Out Deals
  4. ส่วนลด 25% ตลอดชีพ จากระบบจองโต๊ะร้านอาหาร Chope พร้อมสื่อมูลค่า 38,500 บาท
  5. ส่วนลด 25% ตลอดชีพ จากระบบจองคิวร้านอาหาร Chope
  6. ส่วนลดมูลค่ารวม 5,000 บาท จาก Com7 และ Banana IT

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม คลิก https://merchant.grab.com/th-th/blog/pos 

 

FAQ 

Q: ถ้าอยากรู้ว่ายอดขายเติบโตจากเดิมกี่เปอร์เซ็นต์ ต้องคิดยังไง?

A: (ยอดขายใหม่ – ยอดขายเดิม) ÷ ยอดขายเดิม × 100

Q: การคิดเปอร์เซ็นต์ใช้ในเรื่องดอกเบี้ยได้อย่างไร?

A: ใช้บอกอัตราดอกเบี้ย เช่น ดอกเบี้ย 12% ต่อปี หมายถึง คิดดอก 12 บาทต่อเงินต้น 100 บาท ในหนึ่งปี

Q: วิธีคิดเปอร์เซ็นต์ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ทำอย่างไร?

A: ราคาสินค้า × (อัตราภาษี ÷ 100) จะได้จำนวนภาษี เช่น 1,000 × 7% = 70 บาท

Q: ตัวอย่างการคำนวณค่าคอมมิชชัน Grab คิดอย่างไร?

A: ตัวอย่าง: สมมติยอดขายอาหาร 200 บาท Grab กำหนดค่าคอมมิชชัน 30% เท่ากับหัก 60 บาท (200 × 30% = 60)

Q: Grab จะแจ้งยอดเงินที่ได้รับหลังหักค่าคอมมิชชันอย่างไร?

A: ยอดขายหลังหักค่าคอมมิชชันจะแสดงในแอป GrabMerchant ทุกรายการแบบอัตโนมัติ รวมถึงรายละเอียดเงินที่โอนเข้าบัญชีร้านค้าในแต่ละรอบ

 

แหล่งอ้างอิง:

การคิดค่าคอมมิชชัน จาก Grab