การใช้รถยนต์ไฟฟ้าได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ชีวิตคนยุคใหม่ที่เน้นความสะดวกสบาย พร้อมกับรักษาสิ่งแวดล้อม วันนี้จะพาไปดูวิธีชาร์จรถไฟฟ้าแบบละเอียดทีละขั้นตอน ตั้งแต่การค้นหาสถานีจนกระทั่งตอนชาร์จเสร็จพร้อมออกเดินทาง แม้จะเป็นมือใหม่ก็สามารถทำตามได้สบาย ๆ
Highlight
- ตรวจสอบประเภทหัวชาร์จที่ใช้ว่า เป็นแบบไหน?
- ค้นหาสถานีชาร์จที่ใกล้หรือสะดวกที่สุดก่อนเดินทาง
- เตรียมบัตรสมาชิกหรือแอปพลิเคชันการชำระเงินให้พร้อม
- จอดรถในจุดที่จัดไว้
- เชื่อมต่อสายชาร์จเข้ากับรถ
- เริ่มต้นขั้นตอนการชาร์จรถไฟฟ้า
- ตรวจสอบสถานะการชาร์จ
- หยุดการชาร์จและถอดสายชาร์จออก
- ชำระเงิน (ถ้ามี)
- พร้อมออกเดินทางอย่างมั่นใจอีกครั้ง
- ข้อดีของการใช้รถยนต์ไฟฟ้า มีอะไรบ้าง?

1. ตรวจสอบประเภทหัวชาร์จที่ใช้ว่าเป็นแบบไหน?
ก่อนเลือกใช้เครื่องชาร์จสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ต้องตรวจสอบประเภทหัวชาร์จของรถว่าเป็นแบบใด โดยทั่วไปแบ่งเป็นหลัก ๆ ดังต่อไปนี้
- Type 1: ใช้ในรถญี่ปุ่น-อเมริกัน เป็น AC Single Phase แบบ 5 Pin
- Type 2: นิยมมากในยุโรป และไทย เป็น AC สามารถรองรับได้ทั้ง Single/Three Phase แบบ 7 Pin
- CHAdeMO และ CCS: เป็นหัว DC สำหรับชาร์จเร็ว-เร็วพิเศษ มีใช้ในสถานีชาร์จสาธารณะ
การชาร์จแบบธรรมดา (AC Charging)
วิธีชาร์จรถไฟฟ้าแบบธรรมดา หรือที่หลายคนเรียกว่า “ชาร์จไฟบ้าน” เป็นวิธีที่ง่าย และสะดวกมากที่สุด เพราะสามารถเสียบสายชาร์จจากเครื่องชาร์จที่บ้าน (Wallbox) หรือปลั๊กไฟในคอนโดหรืออาคารทั่วไปได้เลย ซึ่งเป็นไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) โดยหลังเสียบสายชาร์จเข้ากับรถ จะค่อย ๆ เติมพลังงานเข้าแบตเตอรี่ ใช้เวลานานหลายชั่วโมง ขึ้นอยู่กับความจุของแบตเตอรี่ เหมาะกับการชาร์จทิ้งไว้ตอนกลางคืน และตื่นเช้ามาแบตก็เต็มพร้อมใช้งานพอดี
การชาร์จแบบเร็ว (DC Fast Charging)
วิธีชาร์จรถไฟฟ้าแบบเร็ว หรือที่เรียกว่า DC Fast Charging เป็นการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าด้วยไฟฟ้ากระแสตรง (DC) มักใช้เวลาประมาณ 30 – 60 นาที ก็สามารถชาร์จแบตได้ถึง 80% แล้ว (ขึ้นอยู่กับขนาดแบต และสถานีชาร์จ) ซึ่งเหมาะสำหรับการเดินทางไกลหรือช่วงเวลาที่รีบ ไม่ต้องรอหลายชั่วโมงเหมือนชาร์จแบบธรรมดา
การชาร์จแบบเร็วพิเศษ (Ultra-Fast Charging)
วิธีชาร์จรถไฟฟ้าแบบเร็วพิเศษ หรือ Ultra-Fast Charging เป็นเทคโนโลยีการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่เน้นความเร็วสูงสุด ใช้เครื่องชาร์จที่มีกำลังไฟสูงมาก โดยกระแสไฟที่ใช้จะเป็นไฟฟ้ากระแสตรง (DC) เหมือนกับการชาร์จแบบเร็ว แต่ Ultra-Fast จะให้แรงดัน และประสิทธิภาพสูงกว่าเดิมมาก

2. ค้นหาสถานีชาร์จที่ใกล้หรือสะดวกที่สุดก่อนเดินทาง
ก่อนการเดินทาง ให้ตรวจสอบ และค้นหาสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่ใกล้ที่สุด โดยใช้แอปพลิเคชันในมือถือ เช่น แอป EV Station PluZ ที่สามารถจองเข้าใช้บริการล่วงหน้าได้หรือระบบนำทางในรถ EV ซึ่งระบบเหล่านี้ จะแสดงตำแหน่ง ความพร้อมใช้งาน และประเภทหัวชาร์จของแต่ละสถานี เพื่อความสะดวกในการเลือกใช้งาน ใครค้นหาสถานีชาร์จได้แล้ว มาดูขั้นตอนการชาร์จรถไฟฟ้ากันเลย
3. เตรียมบัตรสมาชิกหรือแอปพลิเคชันการชำระเงินให้พร้อม
โดยมากสถานีชาร์จ EV จะต้องยืนยันตัวตน และชำระเงินผ่านบัตรสมาชิกหรือแอปพลิเคชันของผู้ให้บริการหรือการสมัครใช้แอปบริการร่วมกับบัตรเครดิต/QRCode เพื่อการตัดยอดค่าใช้จ่าย เพราะฉะนั้นก่อนออกเดินทาง ควรตรวจสอบว่า สมัครสมาชิกหรือมีแอปสำหรับใช้งานบนมือถือ พร้อมเติมเงินหรือบัตรเครดิตเข้าไปเรียบร้อยก่อนเดินทางหรือยัง เพื่อหลีกเลี่ยงความล่าช้าหรือปัญหาในขั้นตอนการชาร์จรถไฟฟ้า
4. จอดรถในจุดที่จัดไว้
เมื่อมาถึงสถานีชาร์จ ให้จอดรถในจุดที่จัดไว้สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ โดยสังเกตป้ายสัญลักษณ์หรือพื้นที่ที่กำหนดไว้ และเมื่อชาร์จเสร็จควรย้ายรถออกทันที ไม่ขวางสิทธิ์ใช้บริการของคนอื่น
5. เชื่อมต่อสายชาร์จเข้ากับรถ
หลังจากจอดรถในตำแหน่งถูกต้อง ให้เปิดช่องชาร์จยนต์ในรถ นำสายชาร์จที่สถานีเชื่อมต่อเข้ากับหัวชาร์จในรถ และอย่าลืมตรวจสอบว่า ประเภทหัวชาร์จตรงกับรุ่นรถหรือไม่

6. เริ่มต้นขั้นตอนการชาร์จรถไฟฟ้า
หลังเชื่อมต่อสายชาร์จกับรถ ให้ดำเนินการเริ่มต้นวิธีชาร์จรถไฟฟ้าตามระบบ โดยส่วนใหญ่ ต้องยืนยันตัวตนผ่านบัตรสมาชิกหรือแอปพลิเคชัน สแกน QR Code หรือแตะบัตร พร้อมเลือกประเภทชาร์จ และยืนยันข้อมูล หลังจากนั้น จะแสดงสถานะ “กำลังชาร์จ” หรือ “Charging” บนหน้าจอของสถานีหรือแอปพลิเคชันในมือถือ
7. ตรวจสอบสถานะการชาร์จ
ระหว่างชาร์จ สามารถตรวจสอบสถานะได้จากหน้าจอของสถานี, แอปพลิเคชัน หรือระบบในรถ รวมถึงการแจ้งเตือนระดับแบตเตอรี่ที่คาดว่า จะใช้เวลานานเท่าใดจนเต็ม โดยช่องสถานะจะแสดงข้อมูลเช่น % ที่ชาร์จ, เวลาที่เหลือ, และความเร็วในการชาร์จ เพื่อช่วยวางแผนระหว่างรอหรือเตรียมตัวเดินทางต่อ
8. หยุดการชาร์จและถอดสายชาร์จออก
เมื่อชาร์จเสร็จหรือได้พลังงานตามต้องการแล้ว ให้กดหยุดที่หน้าสถานีหรือในแอปพลิเคชัน ระบบจะตัดไฟ จากนั้นให้ถอดสายชาร์จออกจากรถ และเก็บคืนสถานี
9. ชำระเงิน (ถ้ามี)
หลายคนอาจมีคำถาม ev station pluz จ่ายเงินยังไง? ต้องดำเนินการชำระเงินผ่านแอปพลิเคชัน บัตรเครดิต เดบิต หรือบัตรสมาชิกที่สมัครไว้ โดยระบบจะสรุปยอดค่าชาร์จ คำนวณตามเวลาหรือจำนวนพลังงานที่ใช้ (kWh)

10. พร้อมออกเดินทางอย่างมั่นใจอีกครั้ง
เมื่อเสร็จสิ้นการชาร์จ และชำระเงิน (ถ้ามี) ให้ตรวจสอบความเรียบร้อยก่อนออกเดินทางอีกครั้ง เช่น ตรวจสอบว่า ประตูช่องชาร์จปิดสนิท สายชาร์จเก็บเข้าที่ไม่ขวางทาง ดูความพร้อมของแบตเตอรี่ว่า เต็มหรืออยู่ในระดับเพียงพอที่จะเดินทางต่อไปหรือไม่ เพียงเท่านี้ ก็พร้อมขับขี่ต่อไปได้อย่างมั่นใจแล้ว
ข้อดีของการใช้รถยนต์ไฟฟ้า มีอะไรบ้าง?
เมื่อรู้ขั้นตอนการชาร์จรถไฟฟ้าไปแล้ว มาดูไปพร้อมกันว่า ข้อดีของการใช้รถยนต์ไฟฟ้ามีอะไรบ้าง?
-
ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ไม่มีการเผาไหม้เชื้อเพลิงขณะขับขี่ จึงไม่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์, ไนโตรเจนออกไซด์หรือฝุ่นละอองอื่น ๆ เหมือนกับรถยนต์ทั่วไปที่ใช้น้ำมัน จึงช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก บรรเทาปัญหาโลกร้อน และมลภาวะทางอากาศ
-
ประหยัดค่าใช้จ่าย
รถยนต์ไฟฟ้ามีค่าใช้จ่ายในการใช้พลังงานน้อยกว่ารถที่ใช้น้ำมัน เพราะค่าชาร์จไฟต่อระยะทางจะถูกกว่าค่าน้ำมัน และยังลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา เนื่องจากตัวรถไม่มีเครื่องยนต์สันดาปภายใน จึงมีชิ้นส่วนน้อยกว่า ไม่ต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่องหรือบำรุงรักษาระบบท่อไอเสีย ช่วยให้เจ้าของรถประหยัดค่าใช้จ่ายระยะยาว
-
ประสิทธิภาพสูง
เทคโนโลยีของรถยนต์ไฟฟ้าให้ประสิทธิภาพการขับขี่สูงกว่า เช่น มีแรงบิดทันทีจากการเหยียบคันเร่ง ตอบสนองได้เร็ว ให้ความนุ่มนวล และเสียงรบกวนน้อยกว่ารถทั่วไป
วิธีการชาร์จรถไฟฟ้า ตั้งแต่การจอง และค้นหาสถานีชาร์จรถไฟฟ้าในปัจจุบันทำได้ง่ายมาก เพียงใช้แอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ เช่น Google Maps, แอป ev station pluz และสำหรับใครที่กำลังมองหาโอกาสสร้างรายได้ อย่ารอช้า มาเป็นส่วนหนึ่งของพาร์ตเนอร์ Grab EV ที่มีทั้งรถยนต์ไฟฟ้า และมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า สามารถสมัครเช่าแบบครบจบบนแอปได้ทันที พร้อมรับสิทธิประโยชน์มากมาย เช่น ค่าเช่าราคาพิเศษ ประกัน ฟรีค่าบำรุง ฟรีค่าดำเนินการ รับงานจากสนามบินหรือจุดสำคัญ รวมถึงรับรีวอร์ด และส่วนลดค่าเช่าประจำสัปดาห์ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมของรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ได้ที่นี่
FAQ:
Q: สามารถชาร์จรถไฟฟ้าเวลาไหน และชาร์จตอนฝนตกได้หรือไม่?
A: ชาร์จได้ทุกเวลาแม้ฝนตกหนัก เพราะรถไฟฟ้าถูกออกแบบให้มีความปลอดภัยสูง มีระบบป้องกันไฟฟ้าลัดวงจร และระบบอื่น ๆ ที่มั่นใจได้ว่า แม้ฝนตกก็ยังสามารถชาร์จได้ตามปกติ แต่ให้เช็ดหัวประจุและเต้ารับให้แห้งก่อนเสียบสายชาร์จ และกางร่มขณะเสียบชาร์จแบต
Q: รถยนต์ไฟฟ้า ชาร์จครั้งละกี่บาท
A: การชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแต่ละครั้ง ขึ้นอยู่กับขนาดแบตเตอรี่ และอัตราค่าไฟที่บ้านหรือสถานีชาร์จ เช่น ค่าไฟเฉลี่ยอยู่ที่ 5 บาทต่อหน่วย (kWh) หากรถที่มีแบตเตอร์รี่ 50 kWh จะเสียค่าไฟราว 250 บาทต่อครั้ง
Q: ถ้าไม่มีรถยนต์/มอเตอร์ไซค์ส่วนตัว สมัครขับ Grab EV ได้ไหม?
A: ได้อย่างแน่นอน สามารถเลือกแพ็กเกจเช่า Grab EV ตามต้องการ มีรถพร้อมใช้งาน ไม่ต้องมีรถเองก็เริ่มงานได้ทันที
Q: ขับ Grab EV ต้องมีใบอนุญาตอะไรบ้าง?
A: ต้องมีใบอนุญาตขับรถยนต์สาธารณะที่ยังไม่หมดอายุ ทั้งรถยนต์ และมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า ถ้าสนใจสมัครก็จัดเตรียมเอกสารไว้ให้พร้อมได้เลย
Q: ขับ Grab EV สามารถชาร์จรถไฟฟ้าได้ที่ไหน?
A: สามารถชาร์จได้ตามสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าทั่วไป
แหล่งอ้างอิง:
[รถยนต์] Grab EV “ผ่อนขับรับรถ” หรือ “เช่าครบจบบนแอป” จาก Grab