ทำใบขับขี่หรือสอบใบขับขี่รถจักรยานยนต์ออนไลน์ ต้องทำอย่างไร 2568

ใบขับขี่ถือเป็นเอกสารสำคัญที่แสดงถึงการได้รับอนุญาตขับขี่อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ที่เราควรพกติดตัวเอาไว้ เนื่องจากมีผลทางกฎหมาย และเราสามารถถูกเรียกตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่ได้ทุกเมื่อ ซึ่งหากใครขี่มอเตอร์ไซค์แล้วพบว่าไม่มีใบขับขี่มอเตอร์ไซค์ ก็สามารถได้รับโทษได้ ดังนั้นทางที่ดีเราควรทำไว้ และพกติดตัวไว้เสมอ แต่หากใครยังไม่เคยทำ หรือใบขับขี่ขาดไปก็ไม่ต้องเป็นกังวล วันนี้ทางเราได้รวบรวมขั้นตอนและรายละเอียดมาไว้ให้แล้ว ทำตามนี้ได้เลยค่ะ

Highlight


ขั้นตอนจองคิวอบรมสำหรับทำใบขับขี่มอเตอร์ไซค์

ปัจจุบันจำเป็นต้องจองคิวล่วงหน้าก่อนเข้ารับบริการเท่านั้น เนื่องจากเป็นการดำเนินงานแบบ New Normal เพื่อลดความแออัดในสถานที่ โดย Grab ขอแนะนำขั้นตอนการ “จองคิวต่อใบขับขี่ออนไลน์” ด้วยตัวเองง่าย ๆ ดังนี้

ขั้นตอนการจองคิวต่อใบขับขี่ออนไลน์ทำอย่างไร?

1. การจองคิวต่อใบขับขี่ออนไลน์ 

เข้าไปยังเว็บไซต์ https://gecc.dlt.go.th หรือ ดาวน์โหลดแอป DLT Smart Queue พร้อมกับลงทะเบียน เมื่อสมัครเรียบร้อยแล้ว กรมการขนส่งให้ยืนยันตัวตนผ่านแอป ThaID ก่อนเข้าระบบจองคิวทำใบขับขี่

2. เลือกลงทะเบียนหรือเข้าสู่ระบบ (กรณีเคยลงทะเบียนไว้แล้ว)

เมื่อเข้าสู่ระบบได้แล้ว ให้จองคิวตามขั้นตอนต่อไปนี้

  • เลือก สำนักงานขนส่ง ที่ต้องการไปดำเนินการ
  • กดเลือกหมวดบริการ “งานใบอนุญาต”
    เลือกประเภทใบขับขี่ที่ต้องการ เช่น รถส่วนบุคคล รถสาธารณะ หรือใบอนุญาตเกี่ยวกับ พ.ร.บ. ขนส่ง
  • เลือกเมนู “ทำใบอนุญาตขับรถใหม่”ระบุประเภทยานพาหนะเป็น รถจักรยานยนต์
  • เลือกประเภทงาน “ขอรับใบอนุญาตขับรถส่วนบุคคลใหม่”
  • เลือกช่องสีเขียวตามวันและเวลาที่ต้องการเข้ารับบริการ
  • ตรวจสอบข้อมูลให้ถูกต้อง แล้วกด ยืนยันการจองคิว
  •  เมื่อจองเสร็จจะขึ้นหน้า “ประวัติการจอง” ที่แสดงรหัสการจอง, วันและเวลาที่จอง, ประเภทงานที่เข้ารับการติดต่อ และสถานที่เข้ารับบริการ โดยสามารถกดยกเลิกได้ในกรณีต้องการเปลี่ยนวันจอง รวมถึงสามารถพิมพ์เอกสารการจองเพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐานได้

ทั้งนี้ผู้เข้ารับบริการจำเป็นต้องเดินทางไปถึงสำนักงานขนส่งที่เลือกไว้ก่อนเวลาประมาณ 30 นาที โดยสวมหน้ากากอนามัยทุกครั้ง แต่งกายให้สุภาพในวันนัด และห้ามใส่กางเกงขาสั้นหรือรองเท้าแตะ โดยเจ้าหน้าที่มีสิทธิ์ปฏิเสธการให้บริการในกรณีไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดดังกล่าว

  • กรมการขนส่งทางบกหรือสำนักงานขนส่งฯ ใกล้บ้าน
  • จองสอบใบขับขี่รถจักรยานยนต์ออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชัน DLT Smart Queue
  • จองคิวผ่านทางโทรศัพท์ เบอร์ 0-2271-8888 ต่อ 4201-4 หรือเบอร์ 1584

3. อ่านคู่มืออบรมใบขับขี่ 

ก่อนทำใบขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ คุณต้องอ่าน คู่มืออบรมใบขับขี่ เพื่อเตรียมตัวสอบภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ซึ่งในคู่มือจะประกอบไปด้วยกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการขับรถ การขับรถอย่างปลอดภัย จิตสำนึกและมารยาทในการขับรถ และข้อปฏิบัติเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน เมื่อพร้อมที่จะสอบใบขับขี่มอเตอร์ไซค์แล้ว ให้ดำเนินการขั้นต่อไป

 

4. เตรียมเอกสารทำใบขับขี่มอเตอร์ไซค์ 

หลังจากจองคิวอบรมทำใบขับขี่เสร็จแล้ว ให้เตรียมเอกสารเหล่านี้เพื่อยื่นกับเจ้าหน้าที่สำนักงานขนส่งในวันที่ไปอบรม ได้แก่

  • บัตรประจำตัวประชาชนฉบับจริง
  • ใบรับรองแพทย์ มีอายุไม่เกิน 1 เดือน

 

5. เดินทางไปที่สำนักงานขนส่งตามวันนัด 

เมื่อถึงวันและเวลาที่จองไว้ ให้เดินทางไปยัง สำนักงานขนส่ง ที่เลือกไว้ล่วงหน้า จากนั้นแสดง เอกสารหรือหลักฐานการจองคิว ผ่านแอป DLT Smart Queue หรือใบยืนยันการจอง (หากพิมพ์ออกมา) ให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ เพื่อดำเนินขั้นตอนต่อไปในการทำใบขับขี่

 

6. ทดสอบสมรรถภาพร่างกาย 

การตรวจสมรรถภาพร่างกายถือเป็นขั้นตอนสำคัญก่อนการขอใบขับขี่รถจักรยานยนต์ เพื่อประเมินความพร้อมของผู้ขับขี่ว่ามีความสามารถเพียงพอในการขับขี่อย่างปลอดภัย โดยการทดสอบจะครอบคลุมทักษะที่จำเป็นต่อการขับรถจริง ดังนี้

  • ทดสอบสมรรถภาพร่างกายสำหรับการสอบใบขับขี่มอเตอร์ไซค์
  • การทดสอบการมองเห็นสี (บอดสีเขียว เหลือง แดง) เพื่อประเมินความสามารถในการแยกแยะสัญญาณไฟจราจรและสีต่าง ๆ
  • การทดสอบการมองเห็นเชิงลึก เพื่อวัดความแม่นยำในการกะระยะห่างระหว่างรถและสิ่งกีดขวาง
  • การทดสอบการมองเห็นด้านข้าง (สายตาทางกว้าง) เพื่อประเมินความสามารถในการรับรู้สิ่งรอบข้างขณะขับขี่
  • การทดสอบการตอบสนองของเท้า เพื่อวัดความรวดเร็วในการเหยียบเบรกหรือควบคุมคันเร่งในสถานการณ์ฉุกเฉิน

ทําใบขับขี่มอเตอร์ไซค์ ต้องมีการอบรมก่อน

7. อบรมใบขับขี่ 

เมื่อผ่านการทดสอบสมรรถภาพร่างกายเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการ เข้ารับการอบรมเพื่อขอรับใบขับขี่รถจักรยานยนต์ ณ สำนักงานขนส่งที่ได้ทำการจองคิวไว้ การอบรมใช้เวลารวมทั้งหมด 5 ชั่วโมง โดยแบ่งออกเป็น 2 ช่วง ดังนี้

  • ช่วงเช้า: เวลา 09.30 – 12.00 น.
  • ช่วงบ่าย: เวลา 13.00 – 15.30 น.

ในการอบรม เจ้าหน้าที่จะให้ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายจราจร การขับขี่อย่างปลอดภัย มารยาทบนท้องถนน รวมถึงแนวทางการป้องกันอุบัติเหตุ เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่การทดสอบภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ

 

8. สอบภาคทฤษฏี 

หลังจากผ่านการอบรม ผู้ขอใบขับขี่จะต้องทำการ สอบข้อเขียนจำนวน 50 ข้อ ภายในเวลา 60 นาที และต้องถูกอย่างน้อย 45ข้อ หรือ 90% เพื่อประเมินความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายจราจรและการขับขี่อย่างปลอดภัย โดยข้อสอบจะครอบคลุมหลายหัวข้อสำคัญ ได้แก่

  • กฎหมายว่าด้วยรถยนต์
  • กฎหมายว่าด้วยการจราจรทางบก
  • สัญญาณไฟจราจรและเครื่องหมายบนพื้นถนน
  • ป้ายบังคับ ป้ายเตือน และป้ายแนะนำ
  • การบำรุงรักษารถจักรยานยนต์
  • หลักการขับขี่อย่างปลอดภัย
  • จิตสำนึกและมารยาทในการใช้ถนน
  • การตีความรูปภาพกฎหมายจราจร

ผู้สมัครสามารถเข้าไปฝึกทำข้อสอบออนไลน์แบบจำลองได้ที่เว็บไซต์ safedrivedlt.com  เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสอบจริง

ทําใบขับขี่มอเตอร์ไซค์ สอบภาคปฏิบัติ

9. สอบภาคปฏิบัติ 

เมื่อผ่านการสอบข้อเขียนเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการ สอบปฏิบัติ เพื่อทดสอบทักษะการขับขี่และความสามารถในการควบคุมรถอย่างปลอดภัยในสถานการณ์จริง

ผู้สอบควร นำรถจักรยานยนต์ส่วนตัวมาใช้ในการสอบ เนื่องจากจะมีความคุ้นเคยในการบังคับควบคุมมากกว่า โดยรถที่นำมาใช้นั้นต้องมีคุณสมบัติดังนี้

  • ขนาดความจุกระบอกสูบไม่เกิน 110 ซีซี
  • อยู่ในสภาพสมบูรณ์ ปลอดภัย และพร้อมใช้งาน
  • ผ่านการจดทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

การสอบปฏิบัติจะมีการประเมินหลายด้าน เช่น การทรงตัวบนทางแคบ การขับขี่ผ่านทางโค้ง การหยุดรถอย่างถูกวิธี และการใช้สัญญาณมืออย่างเหมาะสม เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ขับขี่มีความพร้อมและสามารถขับขี่ได้อย่างปลอดภัยบนท้องถนน ซึ่งแบ่งออกเป็น 5 ท่า

  • ท่าที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์โดยปฏิบัติตามเครื่องหมายจราจร
  • ท่าที่ 2 ขับรถจักรยานยนต์ ทรงตัวบนทางแคบ ทรงตัวไว้โดยไม่ให้เท้าแตะพื้นประมาณ 10วินาที
  • ท่าที่ 3 ขับรถจักรยานยนต์ซิกแซกเข้าโค้งแคบ รูปตัว Z ห้ามชนกรวยล้ม
  • ท่าที่ 4 ขับรถจักรยานยนต์เข้าโค้ง รูปตัว S ห้ามชนกรวยล้ม
  • ท่าที่ 5 ขับรถจักรยานยนต์ซิกแซก หลบสิ่งกีดขวาง

 

10. ถ่ายรูปและรับใบขับขี่ 

เมื่อผ่านการสอบทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติเรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่จะเรียกชื่อเพื่อให้ผู้สอบ ชำระค่าธรรมเนียมและถ่ายรูปสำหรับทำใบขับขี่ โดยกำหนดเวลาปิดรับชำระเงินภายในเวลา 15.30 น.

ใบขับขี่ที่ได้รับจะเป็น แบบ Smart Card ซึ่งภายในบัตรมี ชิปอิเล็กทรอนิกส์ (Embedded Chip) สำหรับจัดเก็บข้อมูลสำคัญของผู้ขับขี่ เช่น

  • ข้อมูลส่วนตัว (ชื่อ–สกุล, ที่อยู่)
  • ประวัติการขับขี่
  • คะแนนความประพฤติในการขับขี่
  • และข้อมูลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับใบอนุญาต

กรมการขนส่งทางบกยังแนะนำให้ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน DLT QR Licence เพื่อใช้แสดง ใบขับขี่ดิจิทัล (e-Driving Licence) กรณีลืมหรือหาบัตรไม่พบ

นอกจากนี้ ควรลงทะเบียนในแอป “ขับดี” (Khub Dee) เพื่อใช้ตรวจสอบและติดตาม คะแนนใบขับขี่ ได้อย่างสะดวกผ่านสมาร์ตโฟน

ทําใบขับขี่มอเตอร์ไซค์ ต้องมีอายุเท่าไหร่ ?

  • อายุระหว่าง 15 – 18 ปี สามารถทำใบขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ส่วนบุคคลได้ แต่ขนาดความจุกระบอกสูบไม่เกิน 110 ซีซี
  • อายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป สามารถทำใบขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ส่วนบุคคลชั่วคราวได้ในรถทุกรูปแบบ
  • อายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป สามารถทำใบขับขี่รถจักรยานยนต์สาธารณะได้

คุณสมบัติพื้นฐานอื่น ๆ ที่ผู้สมัครต้องมี ก่อนยื่นขอใบขับขี่รถจักรยานยนต์ มีอะไรบ้าง? 

  • ต้องไม่มีความพิการทางร่างกายที่ส่งผลให้ไม่สามารถควบคุมหรือขับขี่รถจักรยานยนต์ได้อย่างปลอดภัย
  • ต้องไม่มีโรคประจำตัวที่อาจเป็นอันตรายต่อการขับขี่ เช่น โรคทางสมองและระบบประสาท โรคลมชัก โรคหัวใจ โรคพาร์กินสัน หรือโรคความดันโลหิตสูง เป็นต้น
  • ต้องไม่เป็นผู้มีอาการทางจิต หรือมีภาวะจิตฟั่นเฟือนที่กระทบต่อการตัดสินใจและการขับขี่
  • ต้องไม่อยู่ในช่วงที่ถูกสั่งพัก ใช้ หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่จากทางราชการ

 

เอกสารที่จะต้องเตรียมไปอบรมทำใบขับขี่มอเตอร์ไซค์มีอะไรบ้าง?

  1. บัตรประชาชนตัวจริง
  2. ใบอนุญาตขับรถ (ถ้ามี)
  3. ใบรับรองแพทย์อายุไม่เกิน 1 เดือน (ใช้ในกรณีขาดต่ออายุเกิน 1 ปี แต่ไม่เกิน 3 ปีเท่านั้น

 

ใช้เวลาสอบกี่วัน? ในการทําใบขับขี่มอเตอร์ไซค์ 

การสอบใบขับขี่รถจักรยานยนต์ใช้เวลา 2 วัน แบ่งเป็นสอบทฤษฎีและสอบภาคปฏิบัติ

วันที่ 1:

  • ทดสอบสมรรถภาพร่างกาย (สายตา การมองเห็น การตอบสนอง)
  • เข้ารับการอบรม 5 ชั่วโมง เพื่อเรียนรู้กฎหมายและหลักการขับขี่อย่างปลอดภัย
  • ทำข้อสอบภาคทฤษฎีจำนวน 50 ข้อ (ต้องได้คะแนนไม่น้อยกว่า 45 ข้อจึงจะผ่าน)

วันที่ 2:

  • สอบภาคปฏิบัติ ทดสอบทักษะการขับขี่ในสนามจริง
  • ถ่ายรูป ชำระค่าธรรมเนียม และรับใบขับขี่ Smart Card ทันทีหลังสอบผ่าน

 

ค่าใช้จ่ายสำหรับทําใบขับขี่มอเตอร์ไซค์มีอะไรบ้าง?

สำหรับการทำใบขับขี่มอเตอร์ไซค์มีค่าใช้จ่ายทั้งหมด 105 บาท (ค่าใบขับขี่ 100 บาท + ค่าคำขอ​ 5 บาท)

  • ค่าคำขอ 5 บาท
  • รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลชั่วคราว 100 บาท

ทั้งนี้ ใบขับขี่มอเตอร์ไซค์ที่ได้รับมานั้นจะเป็นใบขับขี่ชนิดชั่วคราวซึ่งมีอายุ 2 ปี ผู้ขับขี่สามารถดำเนินการเปลี่ยนใบขับขี่จากชนิดชั่วคราว 2 ปี เป็นแบบ 5 ได้ล่วงหน้า 90 วัน ซึ่งหากมีใบขับขี่พร้อมแล้ว คุณก็จะสามารถขับขี่รถจักรยานยนต์คู่ใจไปได้ทุกที่ โดยไม่ต้องกังวลเมื่อโดนเจ้าหน้าที่เรียกตรวจ นอกจากนี้หากอยากหารายได้เสริมจากการขับขี่มอเตอร์ไซค์ก็สามารถสมัคร GrabBike หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถดูได้ที่ https://www.grab.com/th/driver/bike/


คำถามที่พบบ่อย

Q: ถ้าจองคิวต่อใบขับขี่ผ่านแอปไว้ แต่วันนั้นติดธุระ จะยกเลิกหรือเลื่อนคิวอย่างไร?

A: สามารถเปิดแอป DLT Smart Queue แล้วไปที่ “ประวัติการจอง” เลือกวันนัดนั้นแล้วกดยกเลิกหรือต้องการเปลี่ยนวัน จากนั้นจองใหม่ในวันที่สะดวกได้ แต่หากไม่ไปตามเวลานัด ระบบจะพิจารณาว่าสละสิทธิ์และต้องจองใหม่เท่านั้น

 

Q: ขับ GrabBike หรือ GrabTaxi ระหว่างต่อใบขับขี่ ต้องแจ้งหรือแสดงผลการจองคิวให้ Grab รู้ไหม?

A: ไม่ต้องแจ้ง Grab โดยตรง แต่ควรจองนอกช่วงที่ออนไลน์รับงาน และหากไปช้าหรือเปลี่ยนคิวจนมีผลกับการรับงาน ควรแจ้งลูกค้าหรือตั้งสถานะออฟไลน์ในแอป GrabDriver เพื่อป้องกันการโดนระบบตัดคะแนนหรือเข้าใจผิดได้

 

Q: ถ้าใบขับขี่หมดอายุมากกว่า 1 ปีแล้ว ตอนต่อผ่านออนไลน์ต้องเจออะไรเพิ่มไหม?

A: หากหมดอายุมากกว่า 1 ปี (แต่ไม่เกิน 3 ปี) ต้องอบรมออนไลน์ และสอบข้อเขียน ในขณะที่หมดอายุเกิน 3 ปี จะต้องอบรม, สอบข้อเขียน และทดสอบปฏิบัติขับรถด้วย

 

Q: การอบรมออนไลน์ก่อนต่อใบขับขี่ เรียนยากไหม ต้องเตรียมตัวยังไง?

A: การอบรม e‑learning จะเป็นวิดีโอสั้นพร้อมแบบทดสอบออนไลน์ (ใช้เวลาประมาณ 1–3 ชั่วโมง ขึ้นกับประเภทใบอนุญาต) แนะนำให้เตรียมเครื่องที่ต่อเน็ตได้เสถียร, ตั้งใจดูเนื้อหาเต็ม และเตรียมเวลาเรียนแบบต่อเนื่องจะช่วยให้ทำแบบทดสอบผ่านง่ายขึ้น

 

Q: เป็นพาร์ทเนอร์ GrabCar อยากต่อใบขับขี่สาธารณะ ต้องเตรียมอะไรเพิ่มจากปกติ?

A: นอกจากเอกสารทั่วไป (ปชช., ใบขับขี่ส่วนบุคคล, ใบรับรองแพทย์) ยังต้องผ่านอบรมภาคทฤษฎี – ภาคปฏิบัติสำหรับขับขี่สาธารณะ เช่น เน้นจรรยาบรรณบริการ, กฎหมายพ.ร.บ., ภาษาอังกฤษเบื้องต้น และการดูแลผู้โดยสาร เพื่อให้ได้ใบขับขี่สาธารณะ (ใบ ท.) มาใช้กับ GrabCar/GrabTaxi