การทำให้ร้านขายของดูน่าเข้ามากขึ้น ไม่ใช่เพียงแค่ตั้งสินค้าลงบนชั้นวางแล้วรอให้ลูกค้าเดินมาเลือกซื้อวันนี้จะพาทุกคนไปรู้จัก “10 วิธีจัดร้านขายของให้น่าเข้า” ซึ่งเป็นเทคนิคง่าย ๆ ที่เจ้าของร้านสามารถนำไปปรับใช้ได้จริง ไม่ว่าจะเป็นการจัดวางสินค้า การดูแลแสงในร้าน ไปจนถึงการตกแต่ง เตรียมพบกับแต่ละวิธีที่จะช่วยเปลี่ยนร้านของคุณให้น่าเข้า และสร้างยอดขายให้ดีขึ้นในบทความนี้
Highlight
- ทำไมเจ้าของร้านค้าควรวางแผนผังร้านค้า?
- 10 วิธีจัดร้านขายของชําให้น่าเข้า มีอะไรบ้าง?
- ทำไมร้านค้าควรจัดเรียงสินค้าอย่างเป็นระบบ?
- หลักการแบ่งกลุ่มสินค้าและการจัดวางในร้านค้าเป็นอย่างไร?
- 7 เคล็ดลับในการวางแผนผังร้านค้าอย่างไรให้ขายดีและลูกค้าประทับใจ?
ทำไมเจ้าของร้านค้าควรวางแผนผังร้านค้า?
การวางแผนผังร้านค้า (Store Layout) ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญที่มีผลโดยตรงต่อยอดขายและประสบการณ์ของลูกค้า เพราะผังร้านที่ออกแบบดี ไม่เพียงช่วยให้ร้านดูเป็นระเบียบและน่าเดิน แต่ยังส่งเสริมให้ลูกค้าอยากใช้เวลาในร้านนานขึ้น และเพิ่มโอกาสในการซื้อสินค้าโดยไม่รู้ตัว มาดูเหตุผลสำคัญว่าทำไมทุกธุรกิจควรให้ความสำคัญกับเรื่องนี้
1.ดึงดูดลูกค้าเข้าร้านได้มากขึ้น
ผังร้านที่จัดวางอย่างมีสไตล์และน่าดึงดูด เช่น มีพื้นที่แสดงสินค้าชัดเจน เดินสะดวก มีป้ายบอกโซนหรือโปรโมชั่นที่มองเห็นได้ง่าย จะช่วยดึงดูดสายตาผู้คนจากภายนอกร้านได้ดี ลูกค้ามักรู้สึกอยากเข้ามาสำรวจมากขึ้น โดยเฉพาะร้านที่จัดแสง สี และทางเดินให้มีความโดดเด่น
2.เพิ่มความสะดวกสบายให้ลูกค้า
ผังร้านที่ดีช่วยให้ลูกค้าหาสินค้าได้ง่าย ไม่ต้องเดินวนหาของ ทำให้ประสบการณ์การช้อปปิ้งราบรื่นและเป็นมิตร ตัวอย่างเช่น การวางสินค้าขายดีไว้ในตำแหน่งที่เข้าถึงง่าย หรือแยกประเภทสินค้าอย่างชัดเจน ก็ช่วยให้ลูกค้าซื้อของได้ครบในเวลาอันสั้น และรู้สึกประทับใจกับการบริการของร้าน
3.เพิ่มโอกาสในการขาย
เมื่อร้านมีบรรยากาศที่ดีและจัดวางสินค้าอย่างมีชั้นเชิง ลูกค้ามักจะอยู่ในร้านนานขึ้น ซึ่งเพิ่มโอกาสให้เขาเห็นสินค้าอื่น ๆ ที่น่าสนใจมากขึ้น เช่น การวางสินค้าราคาพิเศษหรือสินค้าที่เกี่ยวข้องไว้ใกล้กัน จะช่วยกระตุ้นยอดขายแบบ “ซื้อเพิ่ม” หรือ “ซื้อคู่” ได้อย่างเป็นธรรมชาติ
4.ลดความสูญเสียจากการจัดเก็บสินค้า
การจัดผังร้านที่มีระบบ ไม่เพียงช่วยเรื่องการขาย แต่ยังช่วยให้พนักงานจัดเก็บและเติมสินค้าง่ายขึ้น ลดความเสียหายจากสินค้าตกหล่น เสียหาย หรือหมดอายุโดยไม่รู้ตัว นอกจากนี้ยังช่วยให้ตรวจนับสต็อกได้สะดวกและแม่นยำมากขึ้น
10 วิธีจัดร้านขายของชําให้น่าเข้า มีอะไรบ้าง?

1. จัดสินค้าอย่างเป็นหมวดหมู่
การจัดร้านขายของตามหมวดหมู่สินค้า จะช่วยให้ลูกค้าหาสินค้าได้ง่าย สะดวก และเพิ่มโอกาสในการขายสินค้าแต่ละประเภทได้ดียิ่งขึ้น
- แยกสินค้าเป็นกลุ่มตามประเภท เช่น อาหารแห้ง, อาหารสด, ขนมขบเคี้ยว, ผลิตภัณฑ์ซักล้าง, ของใช้ส่วนตัว ฯลฯ โดยสินค้าแต่ละกลุ่มควรวางในพื้นที่ที่เห็นได้ชัดเจน มีป้ายบอกหมวดหมู่หรือราคาชัดเจน
- แยกสินค้าขนาดเล็ก-ใหญ่ และสินค้าคล้ายกันออกจากกัน อย่าวางสินค้าประเภทเดียวกันปะปนจนลูกค้าเลือกยาก
- เลือกจัดมุมพิเศษสำหรับโปรโมชั่นหรือของใหม่ จัดพื้นที่ส่วนหนึ่งของร้าน เพื่อแนะนำสินค้าใหม่หรือโปรโมชั่น โดยแยกเป็นหมวดหมู่เฉพาะ จะช่วยกระตุ้นให้ลูกค้าสนใจ และอยากทดลองซื้อ

2. จัดแสงไปในร้านให้เพียงพอ
การจัดแสงในร้านขายของชำมีผลอย่างมากต่อความรู้สึกแรกเมื่อก้าวเข้าร้าน รวมถึงการมองเห็น และเลือกซื้อสินค้า
- ใช้แสงสว่างที่เพียงพอให้ทั่วทั้งร้านมีความสว่างอย่างทั่วถึง ทั้งมุมหลัก และมุมอับ โดยควรเลือกใช้หลอดไฟสีขาว (Daylight) ที่ให้แสงสว่างสบายตา ช่วยให้สินค้าแต่ละชิ้นดูโดดเด่น
- เสริมไฟเฉพาะจุดสำคัญ เน้นบริเวณชั้นวางสินค้าหรือจุดที่แสดงโปรโมชั่น ช่วยดึงดูดสายตา และเพิ่มโอกาสในการขายสินค้าเหล่านั้น

3. ตกแต่งร้านตามเทศกาลสำคัญ
หนึ่งในวิธีการจัดร้านค้าให้น่าซื้อ คือ การตกแต่งร้านให้เข้ากับเทศกาลต่าง ๆ เช่น ปีใหม่ สงกรานต์ คริสต์มาส หรือวันสำคัญอื่น ๆ ช่วยให้บรรยากาศในร้านมีความสดใสมากขึ้น
- ในช่วงเทศกาล ลองหาอุปกรณ์ตกแต่งตามธีม เช่น แขวนโคมไฟ กระดาษสี หรือป้ายคำอวยพร เพิ่มสีสันให้ร้านดูมีชีวิตชีวา
- ตั้งมุมเล็ก ๆ สำหรับสินค้าโปรโมชั่นหรือของขวัญที่เหมาะกับเทศกาล จะช่วยกระตุ้นให้ลูกค้ารู้สึกอยากซื้อของมากขึ้นในช่วงเวลาพิเศษ
- สามารถเลือกเพลงเข้ากับบรรยากาศ หรือจัดกิจกรรมเล็ก ๆ ให้ร้านดูอบอุ่น และมีความเป็นกันเอง

4. มีทางเดินในร้านอย่างทั่วถึง
การจัดร้านขายของให้มีทางเดินกว้าง และทั่วถึง จะช่วยให้ลูกค้ารู้สึกสะดวกสบายขณะเลือกซื้อสินค้า
- ควรเว้นช่องว่างระหว่างชั้นวางสินค้าให้มากพอ เพื่อให้ลูกค้าสามารถเดินผ่านหรือหยิบของได้โดยไม่ต้องเบียดกัน หรือกลัวจะชนสินค้า
- จัดทางเดินให้ต่อเนื่องทั่วถึงทุกโซน เดินถึงได้ง่ายโดยไม่ติดขัด ไม่ว่าจะเป็นชั้นวางของแห้ง ของสด หรือมุมสินค้าพิเศษ
- หากร้านมีพื้นที่จำกัด ควรจัดชั้นวางให้เป็นระเบียบ และเลือกใช้ชั้นหรือตะกร้าที่มีขนาดพอดี เพื่อไม่ให้ขวางทางเดิน

5. มีราคาบอกชัดเจน
- ควรมีป้ายราคาติดไว้ที่สินค้าหรือชั้นวางทุกประเภท ให้ลูกค้าดูราคาได้ทันทีโดยไม่ต้องสอบถามพนักงาน จัดวางป้ายในตำแหน่งที่เด่น อ่านง่าย โดยใช้ตัวเลขให้ใหญ่ ชัดเจน ไม่เลอะเลือน หลีกเลี่ยงการเขียนด้วยลายมือที่อ่านยากหรือป้ายที่มีรอยขีดเขียน
- หากสินค้าอยู่ในช่วงจัดโปรโมชันหรือปรับลดราคา ควรเปลี่ยนหรืออัปเดตราคาทันที เพื่อป้องกันความสับสน แต่ต้องไม่ปรับราคาขึ้นลงตามใจชอบ

6. มีสินค้าหลากหลาย
- พยายามเติมสินค้าให้ครบทุกหมวดหมู่ ไม่ว่าจะเป็นอาหารสด อาหารแห้ง ขนม น้ำดื่ม ของใช้ในบ้าน ไปจนถึงของจำเป็นในชีวิตประจำวัน รวมถึงมีสินค้าหลายยี่ห้อในกลุ่มเดียวกัน เช่น น้ำดื่ม นม ขนม ให้ลูกค้าได้เลือกตามความชอบ และงบประมาณ
- การจัดร้านขายของชำที่มีสินค้าครบครัน และหลากหลาย จะดึงดูดให้ลูกค้ากลับมาอุดหนุนซ้ำได้ง่ายขึ้น เพราะช่วยให้ลูกค้าจบการซื้อในร้านเดียว ไม่ต้องแวะไปหลายที่

7. สินค้าขายดีต้องอยู่ในระดับสายตา
จัดร้านขายของโดยวางสินค้าขายดีให้อยู่ในระดับที่ลูกค้าเห็น และหยิบได้ง่าย ถือเป็นเทคนิคเล็ก ๆ ที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการขายได้มาก
- ควรนำสินค้าที่ขายดีหรือได้รับความนิยม เช่น น้ำดื่ม ขนม นม หรือของใช้ประจำวัน ไปวางไว้ในชั้นกลางซึ่งอยู่ในระดับสายตาของลูกค้า
- การเลือกวางสินค้าขายดีในตำแหน่งนี้ จะช่วยให้ลูกค้าเห็นได้ชัด ไม่ต้องก้มมากหรือเอื้อมหยิบสูงเกินไป ทำให้ตัดสินใจซื้อได้เร็วขึ้น
- สินค้าที่อยู่ในระยะสายตายังเป็นตัวเลือกแรกที่ลูกค้ามักจะคว้าหยิบเมื่อเดินผ่าน ทำให้การขายสินค้าชิ้นนั้นเป็นไปอย่างง่ายดาย
- สำหรับสินค้าใหม่ที่อยากแนะนำ ก็สามารถนำมาวางในชั้นเดียวกัน เพื่อดึงดูดความสนใจ และให้ลูกค้าเห็นพร้อม ๆ กับสินค้าขายดี

8. จัดตะกร้าไว้ในจุดที่หยิบง่าย
- ควรวางตะกร้าไว้ใกล้ทางเข้าร้าน หรือในจุดที่ลูกค้าเดินผ่านบ่อย เช่น หน้าชั้นวางสินค้าหลักหรือตรงกลางร้าน
- หากร้านมีพื้นที่กว้าง อาจจัดร้านขายของด้วยการแบ่งจุดวางตะกร้าหลายตำแหน่ง เพื่อให้หยิบใช้ง่ายทั่วร้าน ไม่ว่าจะเข้าทางไหนก็เจอตะกร้า

9. บริการเพิ่มเติม
นอกจากการจัดร้ายขายของชำให้สะอาด เป็นระเบียบ น่าเข้าแล้ว สิ่งที่จะช่วยดึงดูดลูกค้าได้ คือ การมีบริการอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น บริการตู้ ATM ตู้กดน้ำ ตู้เติมเงินโทรศัพท์ เพื่ออำนวยความสะดวกลูกค้า เพิ่มโอกาสที่ลูกค้าจะแวะเข้าร้านมาซื้อของเพิ่มเติม

10. ธีมของร้าน เต็นท์
การตกแต่งจัดร้านขายของชำในสไตล์ “เต็นท์” สามารถสร้างบรรยากาศที่ดูอบอุ่น เป็นกันเอง โดย
- ตกแต่งภายในเต็นท์ให้เป็นระเบียบ ใช้ชั้นวางของแบบพกพา หรือจัดโต๊ะวางของให้เคลื่อนย้ายง่าย เหมาะกับการปรับเปลี่ยนพื้นที่บ่อย ๆ
- แขวนไฟตกแต่งใต้เต็นท์ เพิ่มความสว่าง และบรรยากาศอบอุ่นให้ร้าน สามารถดึงดูดลูกค้าได้ทั้งกลางวัน และกลางคืน
ทำไมร้านค้าควรจัดเรียงสินค้าอย่างเป็นระบบ?
การจัดเรียงสินค้า (Merchandising) เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อยอดขายและประสบการณ์ของลูกค้าในร้าน เพราะไม่ใช่แค่การวางสินค้าให้เต็มชั้นเท่านั้น แต่คือ “ศิลปะการจัดวาง” ที่ช่วยกระตุ้นการซื้อ เพิ่มความน่าสนใจของร้าน และทำให้การบริหารสินค้ามีประสิทธิภาพมากขึ้น
-
สร้างความต่อเนื่องในการเลือกซื้อสินค้า
เมื่อสินค้าถูกจัดเรียงตามหมวดหมู่หรือตามลำดับการใช้งาน เช่น วางของใช้ในบ้านไว้ใกล้กัน หรือวางสินค้าที่ใช้คู่กันไว้ติดกัน (เช่น แชมพูกับครีมนวด) จะช่วยให้ลูกค้าเลือกซื้อได้ง่ายและต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดการซื้อสินค้าเพิ่มโดยไม่รู้ตัว
-
เพิ่มพื้นที่สำหรับสินค้าใหม่
การจัดเรียงสินค้าอย่างมีแผนช่วยให้ใช้พื้นที่ในร้านได้คุ้มค่าที่สุด เจ้าของร้านสามารถเว้นพื้นที่บางส่วนไว้สำหรับสินค้ารุ่นใหม่ หรือสินค้าตามฤดูกาลได้โดยไม่ต้องขยายร้าน เพิ่มโอกาสในการนำเสนอสินค้าที่หลากหลายและดึงดูดลูกค้ามากขึ้น
-
ลดความเสี่ยงจากการสูญหายหรือถูกขโมย
เมื่อสินค้าถูกจัดเรียงเป็นระเบียบ และมีการวางผังชั้นวางที่ชัดเจน พนักงานสามารถสังเกตความเคลื่อนไหวของลูกค้าได้ง่ายขึ้น ช่วยลดโอกาสที่สินค้าจะสูญหายจากการขโมย อีกทั้งยังสามารถตรวจสอบจำนวนสินค้าที่หายไปได้รวดเร็ว
-
รู้ยอดขายจริงของสินค้าแต่ละประเภท
การจัดเรียงสินค้าตามหมวดหมู่ทำให้เจ้าของร้านเห็นภาพรวมของการขายได้ง่ายขึ้น สามารถวิเคราะห์ได้ว่าสินค้าตัวไหนขายดี ควรเติมสต็อกเพิ่ม หรือสินค้าตัวไหนขายช้า ควรลดจำนวนหรือย้ายตำแหน่งให้เห็นเด่นขึ้น เพื่อเพิ่มยอดขายได้สูงสุด
-
ตรวจนับสต็อกได้ง่ายและแม่นยำ
เมื่อสินค้าถูกจัดเรียงอย่างเป็นระบบ จะช่วยให้พนักงานสามารถตรวจสอบจำนวนคงเหลือได้รวดเร็ว เห็นได้ทันทีว่าสินค้าตัวใดใกล้หมดหรือยังไม่ได้เติมเต็มชั้น ลดปัญหาสินค้าขาดสต็อกโดยไม่รู้ตัว
-
ลูกค้าซื้อสะดวก หาของง่าย
การจัดเรียงสินค้าอย่างเป็นระเบียบช่วยให้ลูกค้าหาของได้เร็ว ไม่ต้องเดินวนหรือถามพนักงานบ่อย ๆ ร้านที่มีระบบการจัดเรียงดีจะสร้างความประทับใจ ทำให้ลูกค้าอยากกลับมาซื้อซ้ำและบอกต่อ
หลักการแบ่งกลุ่มสินค้าและการจัดวางในร้านค้าเป็นอย่างไร?
การจัดหมวดหมู่สินค้าให้เป็นระบบเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ร้านค้าดูเป็นระเบียบ ค้นหาง่าย และยังเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดที่ช่วยกระตุ้นยอดขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ เจ้าของร้านควรรู้หลักการแบ่งกลุ่มสินค้าและเลือกตำแหน่งจัดเรียงให้เหมาะสม เพื่อให้ลูกค้าเห็นสินค้าหลากหลายมากขึ้นและเพิ่มโอกาสในการซื้อ
-
กลุ่มสินค้าขายดี แต่กำไรน้อย
สินค้าประเภทนี้มักเป็นสินค้าที่ลูกค้าซื้อเป็นประจำ เช่น ของใช้ประจำวัน หรือของอุปโภคบริโภค
ตำแหน่งที่แนะนำ: ควรจัดวางไว้ ด้านในสุดของร้าน
เหตุผล: เพื่อดึงลูกค้าให้เดินเข้ามาลึกในร้าน และในระหว่างทางลูกค้าอาจเห็นสินค้ากลุ่มอื่น ๆ เพิ่มเติม ทำให้เกิดการซื้อสินค้าอื่นร่วมด้วย
-
กลุ่มสินค้าขายได้น้อย แต่กำไรสูง
เป็นสินค้าที่อาจมีราคาสูงหรือขายได้เฉพาะกลุ่ม เช่น ของตกแต่ง เครื่องสำอางบางชนิด หรือสินค้าพรีเมียม
ตำแหน่งที่แนะนำ: ควรวางไว้ ด้านหน้าร้านหรือจุดที่มองเห็นเด่นชัด
เหตุผล: เพื่อให้ลูกค้าสะดุดตาและมีโอกาสตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น แม้จะไม่ใช่สินค้าที่ขายบ่อย แต่สร้างกำไรได้ดีต่อชิ้น
-
กลุ่มสินค้าที่มีอายุการขายสั้น
เช่น สินค้าตามฤดูกาล หรือสินค้าที่มีวันหมดอายุ เช่น อาหารสด ขนม เครื่องดื่ม
ตำแหน่งที่แนะนำ: ควรจัดไว้ บริเวณกลางร้าน ซึ่งเป็นเส้นทางหลักที่ลูกค้าเดินผ่านบ่อย
เหตุผล: เพื่อให้สินค้ากลุ่มนี้ถูกมองเห็นง่าย และขายออกได้รวดเร็วก่อนหมดอายุหรือหมดช่วงโปรโมชั่น
-
กลุ่มสินค้าราคาแพง หรือสินค้าชิ้นเล็ก
เช่น เครื่องประดับ ของฝากราคาสูง หรือสินค้าที่มีขนาดเล็กแต่มีมูลค่าสูง
ตำแหน่งที่แนะนำ: ควรวางไว้ บริเวณเคาน์เตอร์คิดเงิน หรือจุดที่เจ้าของร้านมองเห็นได้ชัดเจน
เหตุผล: ลดความเสี่ยงจากการสูญหายหรือถูกขโมย และยังเป็นตำแหน่งที่ลูกค้าสามารถตัดสินใจซื้อเพิ่มได้ขณะรอชำระเงิน
7 เคล็ดลับในการวางแผนผังร้านค้าอย่างไรให้ขายดีและลูกค้าประทับใจ?
การวางแผนผังร้านค้า (Store Layout) ถือเป็นหัวใจสำคัญของการจัดการร้านที่ดี เพราะส่งผลโดยตรงต่อพฤติกรรมของลูกค้า การเดินเลือกซื้อสินค้า และยอดขายโดยรวม หากวางผังร้านอย่างมีกลยุทธ์ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขายและสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าได้
-
กำหนดเส้นทางการเดินของลูกค้าให้ชัดเจน
เริ่มจากการออกแบบทางเดินให้ลูกค้าเดินได้ทั่วถึงทุกโซนของร้าน เช่น การจัดเส้นทางแบบวนรอบ (Loop Layout) ที่ทำให้ลูกค้าเดินผ่านสินค้าทุกประเภทก่อนถึงจุดชำระเงิน
เคล็ดลับ: อย่าปล่อยให้มี “มุมอับ” ที่ลูกค้าไม่เดินถึง เพราะสินค้าที่อยู่ในจุดนั้นจะขายออกได้ยาก
-
จัดวางสินค้าที่ดึงดูดไว้บริเวณหน้าร้าน
โซนหน้าร้านถือเป็น “จุดเรียกลูกค้า” (Attraction Zone) ควรวางสินค้าที่ขายดี โปรโมชั่น หรือสินค้าตามฤดูกาลไว้บริเวณนี้ เพื่อดึงดูดความสนใจตั้งแต่แรกเห็น
เคล็ดลับ: ใช้ป้ายโปรโมชั่น สีสัน และการจัดวางที่โดดเด่น เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าหยุดดู
-
วางสินค้าที่ขายดีไว้ด้านในสุดของร้าน
สินค้าขายดี เช่น ของใช้ประจำวัน หรือสินค้าที่ลูกค้าต้องมาซื้อบ่อย ควรวางไว้ด้านใน เพื่อให้ลูกค้าเดินผ่านสินค้าประเภทอื่นก่อน
เคล็ดลับ: ระหว่างทางควรจัดวางสินค้ากลุ่มที่เกี่ยวข้อง เช่น วางแชมพูคู่กับครีมนวด หรือขนมข้างเครื่องดื่ม เพื่อเพิ่มยอดขายต่อเนื่อง
-
จัดพื้นที่ให้เดินสะดวก ไม่แออัด
ร้านที่จัดผังแน่นเกินไปทำให้ลูกค้าเดินลำบากและไม่อยากใช้เวลาในร้าน
เคล็ดลับ: เว้นทางเดินหลักอย่างน้อย 80–100 เซนติเมตร เพื่อให้ลูกค้าสามารถเดินสวนกันได้สะดวก และให้รถเข็นผ่านได้
-
ใช้ป้ายบอกหมวดหมู่สินค้าให้ชัดเจน
การติดป้ายบอกโซนสินค้า เช่น “ของใช้ในบ้าน”, “อาหารแห้ง”, “สินค้าลดราคา” จะช่วยให้ลูกค้าหาสินค้าได้ง่ายขึ้นและลดภาระการสอบถามพนักงาน
เคล็ดลับ: ใช้ฟอนต์อ่านง่าย สีสันไม่ฉูดฉาดเกินไป และติดไว้ในระดับสายตา
-
จัดโซนเก็บสินค้าและพื้นที่สต็อกให้เหมาะสม
ควรแยกพื้นที่เก็บสินค้าออกจากพื้นที่ขายให้ชัดเจน เพื่อให้จัดการสต็อกได้ง่าย ไม่รบกวนลูกค้าที่เดินเลือกซื้อ
เคล็ดลับ: สินค้าที่ต้องเติมบ่อยควรเก็บไว้ใกล้พื้นที่ขายเพื่อลดเวลาในการจัดเรียง
-
จัดโซนจ่ายเงินให้มองเห็นง่ายและปลอดภัย
เคาน์เตอร์ชำระเงินควรอยู่ใกล้ทางออก และอยู่ในตำแหน่งที่เจ้าของร้านสามารถมองเห็นพื้นที่ภายในได้ทั่วถึง
เคล็ดลับ: สามารถจัดวางสินค้าขนาดเล็กหรือสินค้าราคาย่อมเยาไว้ใกล้เคาน์เตอร์ เพื่อกระตุ้นการซื้อในวินาทีสุดท้าย (Impulse Buying)
การจัดร้านขายของให้น่าเข้าไม่ใช่เรื่องยาก หากทำตามเทคนิคเหล่านี้ จะช่วยสร้างความประทับใจให้ลูกค้า เพิ่มโอกาสในการขายได้อย่างแน่นอน และถ้าคุณอยากเพิ่มช่องทางขายใหม่ ๆ หรือขยายกลุ่มลูกค้าให้กว้างขึ้น ลองสมัครเข้าร่วมเป็นพาร์ทเนอร์กับ Grab เพื่อนำร้านของคุณเข้าไปอยู่ในแพลตฟอร์มเดลิเวอรีที่มีผู้ใช้จำนวนมาก ช่วยให้ลูกค้าสั่งซื้อสินค้าได้สะดวก และเข้าถึงร้านของคุณได้ง่ายขึ้นอีกหลายเท่า สมัครง่าย พร้อมรับโอกาสเติบโตใหม่ ๆ ในธุรกิจแบบไม่ต้องรอ
FAQ
Q: ร้านขายของชำเล็ก ๆ ลงทุนเท่าไหร่?
A: ร้านขายของชำขนาดเล็กโดยทั่วไปจะใช้เงินลงทุนเริ่มต้นประมาณ 30,000 – 100,000 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดร้าน ทำเล และชนิดของสินค้าที่เลือกขาย โดยเงินลงทุนนี้ มักใช้ไปกับการซื้อสินค้าแรกเข้า, ชั้นวาง, อุปกรณ์พื้นฐาน เช่น เครื่องคิดเงิน ป้ายราคา รวมถึงการตกแต่งร้าน และค่าเช่าพื้นที่
Q: เข้าร่วมแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น Grab ดีไหม?
A: แนะนำให้เข้าร่วมเพื่อขยายฐานลูกค้า เพิ่มยอดขาย และสร้างโอกาสใหม่ ๆ สำหรับร้าน สามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้น โดยไม่ต้องรอให้ลูกค้าเดินเข้าร้านเพียงอย่างเดียว
Q: ร้านค้าขนาดเล็กหรือร้านของชำสมัคร GrabMart ได้ไหม?
A: ได้แน่นอน แม้จะเป็นร้านค้าขนาดเล็กก็สามารถเปิดโอกาสทางการขายด้วยการสมัครเข้าร่วมเป็นพาร์ทเนอร์กับ Grab สามารถศึกษาวิธีสมัคร GrabMart ได้ง่าย ๆ ที่นี่
Q: การสมัครเป็นพาร์ทเนอร์ร้านค้ากับ Grab ต้องเตรียมอะไรบ้าง?
A: เพียงมีข้อมูลร้านค้า และเอกสารสำคัญ เช่น บัตรประชาชน และบัญชีธนาคาร ก็สามารถสมัครได้ไม่ยาก
Q: สมัครร้านค้ากับ Grab มีค่าใช้จ่ายหรือไม่?
A: การสมัครไม่มีค่าธรรมเนียมแรกเข้า หรือค่าสมัครใด ๆ ทั้งสิ้น มีเพียงคิดค่าคอมมิชชันจากยอดขายเท่านั้น สามารถศึกษารายละเอียดการคิดค่าคอมมิชชันเพิ่มเติมได้ที่นี่