การตั้งราคาขายสินค้า และบริการ คือ หัวใจสำคัญของทุกธุรกิจ เพราะเรื่อง “ราคา” ไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่เป็นกลยุทธ์ที่ช่วยสร้างรายได้ เพิ่มยอดขาย และวางตำแหน่งแบรนด์ในใจลูกค้า โดยแต่ละธุรกิจ จะต้องเลือกวิธีตั้งราคาให้เหมาะสมกับตลาด และเป้าหมายของตัวเอง บทความนี้จะพาทุกคนไปรู้จักว่า กลยุทธ์การตั้งราคามีอะไรบ้าง
Highlight
- 8 กลยุทธ์การตั้งราคา Pricing Strategy มีอะไรบ้าง?
- การตั้งราคาตามฤดูกาล (Seasonal Pricing)
- การตั้งราคาตามหลักจิตวิทยา (Psychological Pricing)
- การตั้งราคาตามแนวภูมิศาสตร์ (Geographical Pricing)
- การตั้งราคาสูงและการตั้งราคาต่ำ (Skimming and Penetration Pricing)
- กลยุทธ์ราคาชุด (Product Set Pricing)
- การตั้งราคาเพื่อการส่งเสริมการตลาด (Promotion Pricing)
- กลยุทธ์ราคาแยกตามกลุ่มลูกค้า (Pricing by Type of Customers)
- กลยุทธ์การตั้งราคาแบบหลอกล่อ (Decoy Effect)

กลยุทธ์การตั้งราคา Pricing Strategy มีอะไรบ้าง?
วันนี้มาทำความรู้จักกับ 8 กลยุทธ์การตั้งราคาที่จะช่วยกระตุ้นการขายไปพร้อมกัน
1. การตั้งราคาตามฤดูกาล (Seasonal Pricing)
กลยุทธ์การตั้งราคาตามฤดูกาล (Seasonal Pricing) คือ วิธีการตั้งราคาสินค้าหรือบริการให้สอดคล้องกับช่วงเวลา เทศกาล หรือฤดูกาลที่มีผลต่อความต้องการของลูกค้า โดยปรับราคาสูงขึ้นในช่วงที่ความต้องการสูงหรือปรับราคาลดลงในช่วงที่ความต้องการต่ำ เพื่อกระตุ้นยอดขาย และสร้างสมดุลรายได้ตลอดปี เช่น ราคาโรงแรม รีสอร์ต ตั๋วเครื่องบิน ฯลฯ จะสูงขึ้นในเทศกาลท่องเที่ยว หรือร้านสปาจัดราคาพิเศษลดลงในวันธรรมดา เพื่อจูงใจลูกค้าใช้บริการช่วงลูกค้าน้อย
2. การตั้งราคาตามหลักจิตวิทยา (Psychological Pricing)
กลยุทธ์การตั้งราคาตามหลักจิตวิทยา (Psychological Pricing) คือ วิธีการกำหนดราคาสินค้าหรือบริการโดยใช้ “จิตวิทยาของผู้ซื้อ” มาเป็นตัวช่วยโน้มน้าวให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น โดยไม่ใช่วางตัวเลขตามต้นทุนหรือมูลค่าจริงเท่านั้น แต่เป็นการตั้งราคาให้ลูกค้าเกิดความรู้สึกคุ้มค่า น่าสนใจ เช่น ตั้งราคาลงท้ายด้วยเลข 9 เช่น 199, 299, 999 บาท เพื่อจูงใจให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อง่ายขึ้น

3. การตั้งราคาตามแนวภูมิศาสตร์ (Geographical Pricing)
กลยุทธ์การตั้งราคาตามแนวภูมิศาสตร์ (Geographical Pricing) คือ วิธีการกำหนดราคาสินค้าหรือบริการโดยดูจากพื้นที่หรือภูมิภาคที่นำไปขาย หลักคิดง่ายๆ คือแต่ละพื้นที่มีความแตกต่างในเรื่องของต้นทุน เช่น ค่าขนส่ง ระยะทาง สภาพการแข่งขัน หรือแม้แต่ระดับรายได้ของคนในแต่ละภูมิภาค ดังนั้น ราคาสินค้าเดียวกันอาจแตกต่างกันในแต่ละจังหวัด เมือง หรือประเทศ
4. การตั้งราคาสูงและการตั้งราคาต่ำ (Skimming and Penetration Pricing)
-
การตั้งราคาสูง (Skimming Pricing)
การตั้งราคาสูงในช่วงแรกที่ปล่อยสินค้าสู่ตลาด เป็นกลยุทธ์การตั้งราคา เพื่อที่จะขายให้ได้ต้นทุน และกำไรกลับคืนมา
-
การตั้งราคาต่ำ (Penetration Pricing)
เป็นการเปิดตัวสินค้าใหม่โดยตั้งราคาให้ต่ำกว่าคู่แข่ง เพื่อเจาะตลาด ดึงดูดลูกค้าและสร้างส่วนแบ่งการตลาดอย่างรวดเร็ว

5. กลยุทธ์ราคาชุด (Product Set Pricing)
กลยุทธ์ราคาชุด (Product Set Pricing) เป็นวิธีการตั้งราคาที่ยอดนิยมมากในธุรกิจอาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าหลากหลายประเภท เพราะช่วยกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อปริมาณมากขึ้น และเพิ่มยอดขายเฉลี่ยโดยรวม เพราะลูกค้าจะเห็นว่า ราคาคุ้มค่า ถูกกว่าซื้อแยก อีกทั้ง ยังเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยระบายสินค้าที่ขายยากออกไปด้วย
6. การตั้งราคาเพื่อการส่งเสริมการตลาด (Promotion Pricing)
กลยุทธ์การตั้งราคาเพื่อการส่งเสริมการตลาด (Promotion Pricing) คือ การกำหนดราคาสินค้าหรือบริการให้ดู “ดึงดูดใจ” และ “คุ้มค่า” มากเป็นพิเศษ เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อทันที หรือกระตุ้นยอดขายในระยะเวลาสั้น ๆ โดยพ่อค้าแม่ค้ามักนำกลยุทธ์นี้ ไปใช้ในช่วงเทศกาล กิจกรรมพิเศษ หรือกรณีต้องการเร่งระบายสินค้า เช่น การตั้งราคาต่ำมากหรือต่ำกว่าต้นทุน การจับคู่ชุดราคาพิเศษ
7. กลยุทธ์ราคาแยกตามกลุ่มลูกค้า (Pricing by Type of Customers)
กลยุทธ์การตั้งราคาแยกตามกลุ่มลูกค้า คือ การตั้งราคาสินค้าหรือบริการให้แตกต่างกันตามแต่ละกลุ่มลูกค้า โดยพิจารณาจากความต้องการ ความสามารถในการจ่าย ไลฟ์สไตล์ หรือพฤติกรรมของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายแต่ละกลุ่ม เช่น สินค้าหรือบริการเดียวกันอาจตั้งราคาต่างกันสำหรับลูกค้าที่ต่างกัน เช่น ราคานักเรียน/นักศึกษา ราคาผู้สูงอายุ
8. กลยุทธ์การตั้งราคาแบบหลอกล่อ (Decoy Effect)
กลยุทธ์การตั้งราคาแบบหลอกล่อ (Decoy Effect) คือเทคนิคทางจิตวิทยาการตลาดที่ใช้ “ตัวเลือกพิเศษ” เพื่อจูงใจลูกค้า โดยจะสร้างตัวเลือกที่สามขึ้นมาเพิ่มเติมจากสองตัวเลือกหลักเดิม เพื่อเปลี่ยนใจให้ลูกค้าหันไปเลือกซื้อสินค้าที่มีราคาสูงขึ้นหรือให้ธุรกิจได้กำไรมากขึ้น เช่น ปล่อยสินค้าหรือบริการที่คล้ายกัน 3 แบบ เช่น เล็ก กลาง ใหญ่ หรือ Standard, Premium, Deluxe โดย “ตัวเลือกตรงกลาง” จะถูกออกแบบมาให้ดูเหมือนว่า คุ้มค่าน้อยกว่าตัวเลือกแพงสุด
“กลยุทธ์การตั้งราคา” คือ เครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจเติบโต สามารถแข่งขัน และสร้างความแตกต่างในตลาดได้ โดยไม่ว่าจะเลือกใช้กลยุทธ์แบบไหน สิ่งสำคัญที่สุด คือ การรู้จักปรับราคาให้เหมาะกับสินค้า ลูกค้า และสถานการณ์อยู่เสมอ
หากคุณอยากสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ รีบมาร่วมเป็นพาร์ทเนอร์กับ Grab เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าขนาดใหญ่ อีกทั้งยังมีระบบบริหารจัดการที่ทันสมัย และโอกาสใช้กลยุทธ์ดี ๆ ในการตั้งราคาขายอีกมากมาย สามารถสมัครเป็นพาร์ทเนอร์กับ Grab วันนี้ แล้วเตรียมพบกับความสำเร็จที่รอคุณอยู่
FAQ
Q: การตั้งราคาขายที่ดีควรเริ่มจากอะไร?
A: เริ่มจากการรู้ต้นทุนสินค้า ศึกษาตลาดและคู่แข่ง รู้จักกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ก่อนจะเลือกกลยุทธ์การตั้งราคาที่เหมาะสม
Q: กลยุทธ์การตั้งราคาเพื่อส่งเสริมการตลาด ทำได้แบบไหนบ้าง?
A: กลยุทธ์การตั้งราคาตัวอย่างเช่น ลดราคาเฉพาะช่วงเวลา, ซื้อ 1 แถม 1, ราคาแพ็กเกจสุดคุ้ม, หรือโปรโมชั่นแบบจำกัดเวลา
Q: อยากเพิ่มยอดขาย ควรใช้กลยุทธ์ราคาแบบไหน?
A: โปรโมชั่นเฉพาะช่วงเวลา และส่วนลดสำหรับลูกค้าบน Grab สามารถกระตุ้นยอดขาย และดึงดูดลูกค้าใหม่ได้เป็นอย่างดี
Q: จะตั้งราคาต้นทุนกับราคาขายบน Grab ควรเผื่ออะไรไว้บ้าง?
A: ควรคิดค่าส่ง ค่าคอมมิชชัน และค่าโปรโมชันที่ Grab สนับสนุน เพื่อกำหนดราคาขายให้ได้กำไรที่เหมาะสม
Q: ถ้าอยากเพิ่มยอดขาย และเข้าถึงลูกค้าใหม่ ๆ ควรสมัครเป็นพาร์ทเนอร์กับ Grab หรือไม่?
A: ควรสมัครอย่างยิ่ง เพราะ Grab มีเครื่องมือ และระบบโปรโมทสินค้า รวมถึงกลยุทธ์การตั้งราคาหลากหลาย ช่วยให้ร้านค้าขยายตลาด และเติบโตอย่างมั่นใจ
แหล่งอ้างอิง: