ใบขับขี่ถือเป็นเอกสารสำคัญที่แสดงถึงการได้รับอนุญาตขับขี่อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ที่เราควรพกติดตัวเอาไว้ เนื่องจากมีผลทางกฎหมาย และเราสามารถถูกเรียกตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่ได้ทุกเมื่อ ซึ่งหากใครขี่มอเตอร์ไซค์แล้วพบว่าไม่มีใบขับขี่มอเตอร์ไซค์ ก็สามารถได้รับโทษได้ ดังนั้นทางที่ดีเราควรทำไว้ และพกติดตัวไว้เสมอ แต่หากใครยังไม่เคยทำ หรือใบขับขี่ขาดไปก็ไม่ต้องเป็นกังวล วันนี้ทางเราได้รวบรวมขั้นตอนและรายละเอียดมาไว้ให้แล้ว ทำตามนี้ได้เลยค่ะ
Highlight
- ขั้นตอนการจองคิวต่อใบขับขี่ออนไลน์ทำอย่างไร?
- ทําใบขับขี่มอเตอร์ไซค์ ต้องมีอายุเท่าไหร่ ?
- คุณสมบัติพื้นฐานอื่น ๆ ที่ผู้สมัครต้องมี ก่อนยื่นขอใบขับขี่รถจักรยานยนต์ มีอะไรบ้าง?
- เอกสารที่จะต้องเตรียมไปอบรมทำใบขับขี่มอเตอร์ไซค์มีอะรบ้าง?
- ใช้เวลาสอบกี่วัน? ในการทําใบขับขี่มอเตอร์ไซค์
- ค่าใช้จ่ายสำหรับทําใบขับขี่มอเตอร์ไซค์มีอะไรบ้าง?

ปัจจุบันจำเป็นต้องจองคิวล่วงหน้าก่อนเข้ารับบริการเท่านั้น เนื่องจากเป็นการดำเนินงานแบบ New Normal เพื่อลดความแออัดในสถานที่ โดย Grab ขอแนะนำขั้นตอนการ “จองคิวต่อใบขับขี่ออนไลน์” ด้วยตัวเองง่าย ๆ ดังนี้
ขั้นตอนการจองคิวต่อใบขับขี่ออนไลน์ทำอย่างไร?
1. การจองคิวต่อใบขับขี่ออนไลน์
เข้าไปยังเว็บไซต์ https://gecc.dlt.go.th หรือ ดาวน์โหลดแอป DLT Smart Queue พร้อมกับลงทะเบียน เมื่อสมัครเรียบร้อยแล้ว กรมการขนส่งให้ยืนยันตัวตนผ่านแอป ThaID ก่อนเข้าระบบจองคิวทำใบขับขี่
2. เลือกลงทะเบียนหรือเข้าสู่ระบบ (กรณีเคยลงทะเบียนไว้แล้ว)
เมื่อเข้าสู่ระบบได้แล้ว ให้จองคิวตามขั้นตอนต่อไปนี้
- เลือก สำนักงานขนส่ง ที่ต้องการไปดำเนินการ
- กดเลือกหมวดบริการ “งานใบอนุญาต”
เลือกประเภทใบขับขี่ที่ต้องการ เช่น รถส่วนบุคคล รถสาธารณะ หรือใบอนุญาตเกี่ยวกับ พ.ร.บ. ขนส่ง - เลือกเมนู “ทำใบอนุญาตขับรถใหม่”ระบุประเภทยานพาหนะเป็น รถจักรยานยนต์
- เลือกประเภทงาน “ขอรับใบอนุญาตขับรถส่วนบุคคลใหม่”
- เลือกช่องสีเขียวตามวันและเวลาที่ต้องการเข้ารับบริการ
- ตรวจสอบข้อมูลให้ถูกต้อง แล้วกด ยืนยันการจองคิว
- เมื่อจองเสร็จจะขึ้นหน้า “ประวัติการจอง” ที่แสดงรหัสการจอง, วันและเวลาที่จอง, ประเภทงานที่เข้ารับการติดต่อ และสถานที่เข้ารับบริการ โดยสามารถกดยกเลิกได้ในกรณีต้องการเปลี่ยนวันจอง รวมถึงสามารถพิมพ์เอกสารการจองเพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐานได้
ทั้งนี้ผู้เข้ารับบริการจำเป็นต้องเดินทางไปถึงสำนักงานขนส่งที่เลือกไว้ก่อนเวลาประมาณ 30 นาที โดยสวมหน้ากากอนามัยทุกครั้ง แต่งกายให้สุภาพในวันนัด และห้ามใส่กางเกงขาสั้นหรือรองเท้าแตะ โดยเจ้าหน้าที่มีสิทธิ์ปฏิเสธการให้บริการในกรณีไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดดังกล่าว
- กรมการขนส่งทางบกหรือสำนักงานขนส่งฯ ใกล้บ้าน
- จองสอบใบขับขี่รถจักรยานยนต์ออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชัน DLT Smart Queue
- จองคิวผ่านทางโทรศัพท์ เบอร์ 0-2271-8888 ต่อ 4201-4 หรือเบอร์ 1584
3. อ่านคู่มืออบรมใบขับขี่
ก่อนทำใบขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ คุณต้องอ่าน คู่มืออบรมใบขับขี่ เพื่อเตรียมตัวสอบภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ซึ่งในคู่มือจะประกอบไปด้วยกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการขับรถ การขับรถอย่างปลอดภัย จิตสำนึกและมารยาทในการขับรถ และข้อปฏิบัติเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน เมื่อพร้อมที่จะสอบใบขับขี่มอเตอร์ไซค์แล้ว ให้ดำเนินการขั้นต่อไป
4. เตรียมเอกสารทำใบขับขี่มอเตอร์ไซค์
หลังจากจองคิวอบรมทำใบขับขี่เสร็จแล้ว ให้เตรียมเอกสารเหล่านี้เพื่อยื่นกับเจ้าหน้าที่สำนักงานขนส่งในวันที่ไปอบรม ได้แก่
- บัตรประจำตัวประชาชนฉบับจริง
- ใบรับรองแพทย์ มีอายุไม่เกิน 1 เดือน
5. เดินทางไปที่สำนักงานขนส่งตามวันนัด
เมื่อถึงวันและเวลาที่จองไว้ ให้เดินทางไปยัง สำนักงานขนส่ง ที่เลือกไว้ล่วงหน้า จากนั้นแสดง เอกสารหรือหลักฐานการจองคิว ผ่านแอป DLT Smart Queue หรือใบยืนยันการจอง (หากพิมพ์ออกมา) ให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ เพื่อดำเนินขั้นตอนต่อไปในการทำใบขับขี่
6. ทดสอบสมรรถภาพร่างกาย
การตรวจสมรรถภาพร่างกายถือเป็นขั้นตอนสำคัญก่อนการขอใบขับขี่รถจักรยานยนต์ เพื่อประเมินความพร้อมของผู้ขับขี่ว่ามีความสามารถเพียงพอในการขับขี่อย่างปลอดภัย โดยการทดสอบจะครอบคลุมทักษะที่จำเป็นต่อการขับรถจริง ดังนี้
- ทดสอบสมรรถภาพร่างกายสำหรับการสอบใบขับขี่มอเตอร์ไซค์
- การทดสอบการมองเห็นสี (บอดสีเขียว เหลือง แดง) เพื่อประเมินความสามารถในการแยกแยะสัญญาณไฟจราจรและสีต่าง ๆ
- การทดสอบการมองเห็นเชิงลึก เพื่อวัดความแม่นยำในการกะระยะห่างระหว่างรถและสิ่งกีดขวาง
- การทดสอบการมองเห็นด้านข้าง (สายตาทางกว้าง) เพื่อประเมินความสามารถในการรับรู้สิ่งรอบข้างขณะขับขี่
- การทดสอบการตอบสนองของเท้า เพื่อวัดความรวดเร็วในการเหยียบเบรกหรือควบคุมคันเร่งในสถานการณ์ฉุกเฉิน

7. อบรมใบขับขี่
เมื่อผ่านการทดสอบสมรรถภาพร่างกายเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการ เข้ารับการอบรมเพื่อขอรับใบขับขี่รถจักรยานยนต์ ณ สำนักงานขนส่งที่ได้ทำการจองคิวไว้ การอบรมใช้เวลารวมทั้งหมด 5 ชั่วโมง โดยแบ่งออกเป็น 2 ช่วง ดังนี้
- ช่วงเช้า: เวลา 09.30 – 12.00 น.
- ช่วงบ่าย: เวลา 13.00 – 15.30 น.
ในการอบรม เจ้าหน้าที่จะให้ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายจราจร การขับขี่อย่างปลอดภัย มารยาทบนท้องถนน รวมถึงแนวทางการป้องกันอุบัติเหตุ เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่การทดสอบภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ
8. สอบภาคทฤษฏี
หลังจากผ่านการอบรม ผู้ขอใบขับขี่จะต้องทำการ สอบข้อเขียนจำนวน 50 ข้อ ภายในเวลา 60 นาที และต้องถูกอย่างน้อย 45ข้อ หรือ 90% เพื่อประเมินความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายจราจรและการขับขี่อย่างปลอดภัย โดยข้อสอบจะครอบคลุมหลายหัวข้อสำคัญ ได้แก่
- กฎหมายว่าด้วยรถยนต์
- กฎหมายว่าด้วยการจราจรทางบก
- สัญญาณไฟจราจรและเครื่องหมายบนพื้นถนน
- ป้ายบังคับ ป้ายเตือน และป้ายแนะนำ
- การบำรุงรักษารถจักรยานยนต์
- หลักการขับขี่อย่างปลอดภัย
- จิตสำนึกและมารยาทในการใช้ถนน
- การตีความรูปภาพกฎหมายจราจร
ผู้สมัครสามารถเข้าไปฝึกทำข้อสอบออนไลน์แบบจำลองได้ที่เว็บไซต์ safedrivedlt.com เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสอบจริง

9. สอบภาคปฏิบัติ
เมื่อผ่านการสอบข้อเขียนเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการ สอบปฏิบัติ เพื่อทดสอบทักษะการขับขี่และความสามารถในการควบคุมรถอย่างปลอดภัยในสถานการณ์จริง
ผู้สอบควร นำรถจักรยานยนต์ส่วนตัวมาใช้ในการสอบ เนื่องจากจะมีความคุ้นเคยในการบังคับควบคุมมากกว่า โดยรถที่นำมาใช้นั้นต้องมีคุณสมบัติดังนี้
- ขนาดความจุกระบอกสูบไม่เกิน 110 ซีซี
- อยู่ในสภาพสมบูรณ์ ปลอดภัย และพร้อมใช้งาน
- ผ่านการจดทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
การสอบปฏิบัติจะมีการประเมินหลายด้าน เช่น การทรงตัวบนทางแคบ การขับขี่ผ่านทางโค้ง การหยุดรถอย่างถูกวิธี และการใช้สัญญาณมืออย่างเหมาะสม เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ขับขี่มีความพร้อมและสามารถขับขี่ได้อย่างปลอดภัยบนท้องถนน ซึ่งแบ่งออกเป็น 5 ท่า
- ท่าที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์โดยปฏิบัติตามเครื่องหมายจราจร
- ท่าที่ 2 ขับรถจักรยานยนต์ ทรงตัวบนทางแคบ ทรงตัวไว้โดยไม่ให้เท้าแตะพื้นประมาณ 10วินาที
- ท่าที่ 3 ขับรถจักรยานยนต์ซิกแซกเข้าโค้งแคบ รูปตัว Z ห้ามชนกรวยล้ม
- ท่าที่ 4 ขับรถจักรยานยนต์เข้าโค้ง รูปตัว S ห้ามชนกรวยล้ม
- ท่าที่ 5 ขับรถจักรยานยนต์ซิกแซก หลบสิ่งกีดขวาง
10. ถ่ายรูปและรับใบขับขี่
เมื่อผ่านการสอบทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติเรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่จะเรียกชื่อเพื่อให้ผู้สอบ ชำระค่าธรรมเนียมและถ่ายรูปสำหรับทำใบขับขี่ โดยกำหนดเวลาปิดรับชำระเงินภายในเวลา 15.30 น.
ใบขับขี่ที่ได้รับจะเป็น แบบ Smart Card ซึ่งภายในบัตรมี ชิปอิเล็กทรอนิกส์ (Embedded Chip) สำหรับจัดเก็บข้อมูลสำคัญของผู้ขับขี่ เช่น
- ข้อมูลส่วนตัว (ชื่อ–สกุล, ที่อยู่)
- ประวัติการขับขี่
- คะแนนความประพฤติในการขับขี่
- และข้อมูลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับใบอนุญาต
กรมการขนส่งทางบกยังแนะนำให้ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน DLT QR Licence เพื่อใช้แสดง ใบขับขี่ดิจิทัล (e-Driving Licence) กรณีลืมหรือหาบัตรไม่พบ
นอกจากนี้ ควรลงทะเบียนในแอป “ขับดี” (Khub Dee) เพื่อใช้ตรวจสอบและติดตาม คะแนนใบขับขี่ ได้อย่างสะดวกผ่านสมาร์ตโฟน
ทําใบขับขี่มอเตอร์ไซค์ ต้องมีอายุเท่าไหร่ ?
- อายุระหว่าง 15 – 18 ปี สามารถทำใบขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ส่วนบุคคลได้ แต่ขนาดความจุกระบอกสูบไม่เกิน 110 ซีซี
- อายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป สามารถทำใบขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ส่วนบุคคลชั่วคราวได้ในรถทุกรูปแบบ
- อายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป สามารถทำใบขับขี่รถจักรยานยนต์สาธารณะได้
คุณสมบัติพื้นฐานอื่น ๆ ที่ผู้สมัครต้องมี ก่อนยื่นขอใบขับขี่รถจักรยานยนต์ มีอะไรบ้าง?
- ต้องไม่มีความพิการทางร่างกายที่ส่งผลให้ไม่สามารถควบคุมหรือขับขี่รถจักรยานยนต์ได้อย่างปลอดภัย
- ต้องไม่มีโรคประจำตัวที่อาจเป็นอันตรายต่อการขับขี่ เช่น โรคทางสมองและระบบประสาท โรคลมชัก โรคหัวใจ โรคพาร์กินสัน หรือโรคความดันโลหิตสูง เป็นต้น
- ต้องไม่เป็นผู้มีอาการทางจิต หรือมีภาวะจิตฟั่นเฟือนที่กระทบต่อการตัดสินใจและการขับขี่
- ต้องไม่อยู่ในช่วงที่ถูกสั่งพัก ใช้ หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่จากทางราชการ
เอกสารที่จะต้องเตรียมไปอบรมทำใบขับขี่มอเตอร์ไซค์มีอะไรบ้าง?
- บัตรประชาชนตัวจริง
- ใบอนุญาตขับรถ (ถ้ามี)
- ใบรับรองแพทย์อายุไม่เกิน 1 เดือน (ใช้ในกรณีขาดต่ออายุเกิน 1 ปี แต่ไม่เกิน 3 ปีเท่านั้น
ใช้เวลาสอบกี่วัน? ในการทําใบขับขี่มอเตอร์ไซค์
การสอบใบขับขี่รถจักรยานยนต์ใช้เวลา 2 วัน แบ่งเป็นสอบทฤษฎีและสอบภาคปฏิบัติ
วันที่ 1:
- ทดสอบสมรรถภาพร่างกาย (สายตา การมองเห็น การตอบสนอง)
- เข้ารับการอบรม 5 ชั่วโมง เพื่อเรียนรู้กฎหมายและหลักการขับขี่อย่างปลอดภัย
- ทำข้อสอบภาคทฤษฎีจำนวน 50 ข้อ (ต้องได้คะแนนไม่น้อยกว่า 45 ข้อจึงจะผ่าน)
วันที่ 2:
- สอบภาคปฏิบัติ ทดสอบทักษะการขับขี่ในสนามจริง
- ถ่ายรูป ชำระค่าธรรมเนียม และรับใบขับขี่ Smart Card ทันทีหลังสอบผ่าน
ค่าใช้จ่ายสำหรับทําใบขับขี่มอเตอร์ไซค์มีอะไรบ้าง?
สำหรับการทำใบขับขี่มอเตอร์ไซค์มีค่าใช้จ่ายทั้งหมด 105 บาท (ค่าใบขับขี่ 100 บาท + ค่าคำขอ 5 บาท)
- ค่าคำขอ 5 บาท
- รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลชั่วคราว 100 บาท
ทั้งนี้ ใบขับขี่มอเตอร์ไซค์ที่ได้รับมานั้นจะเป็นใบขับขี่ชนิดชั่วคราวซึ่งมีอายุ 2 ปี ผู้ขับขี่สามารถดำเนินการเปลี่ยนใบขับขี่จากชนิดชั่วคราว 2 ปี เป็นแบบ 5 ได้ล่วงหน้า 90 วัน ซึ่งหากมีใบขับขี่พร้อมแล้ว คุณก็จะสามารถขับขี่รถจักรยานยนต์คู่ใจไปได้ทุกที่ โดยไม่ต้องกังวลเมื่อโดนเจ้าหน้าที่เรียกตรวจ นอกจากนี้หากอยากหารายได้เสริมจากการขับขี่มอเตอร์ไซค์ก็สามารถสมัคร GrabBike หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถดูได้ที่ https://www.grab.com/th/driver/bike/
FAQs
Q: ถ้าจองคิวต่อใบขับขี่ผ่านแอปไว้ แต่วันนั้นติดธุระ จะยกเลิกหรือเลื่อนคิวอย่างไร?
A: สามารถเปิดแอป DLT Smart Queue แล้วไปที่ “ประวัติการจอง” เลือกวันนัดนั้นแล้วกดยกเลิกหรือต้องการเปลี่ยนวัน จากนั้นจองใหม่ในวันที่สะดวกได้ แต่หากไม่ไปตามเวลานัด ระบบจะพิจารณาว่าสละสิทธิ์และต้องจองใหม่เท่านั้น
Q: ขับ GrabBike หรือ GrabTaxi ระหว่างต่อใบขับขี่ ต้องแจ้งหรือแสดงผลการจองคิวให้ Grab รู้ไหม?
A: ไม่ต้องแจ้ง Grab โดยตรง แต่ควรจองนอกช่วงที่ออนไลน์รับงาน และหากไปช้าหรือเปลี่ยนคิวจนมีผลกับการรับงาน ควรแจ้งลูกค้าหรือตั้งสถานะออฟไลน์ในแอป GrabDriver เพื่อป้องกันการโดนระบบตัดคะแนนหรือเข้าใจผิดได้
Q: ถ้าใบขับขี่หมดอายุมากกว่า 1 ปีแล้ว ตอนต่อผ่านออนไลน์ต้องเจออะไรเพิ่มไหม?
A: หากหมดอายุมากกว่า 1 ปี (แต่ไม่เกิน 3 ปี) ต้องอบรมออนไลน์ และสอบข้อเขียน ในขณะที่หมดอายุเกิน 3 ปี จะต้องอบรม, สอบข้อเขียน และทดสอบปฏิบัติขับรถด้วย
Q: การอบรมออนไลน์ก่อนต่อใบขับขี่ เรียนยากไหม ต้องเตรียมตัวยังไง?
A: การอบรม e‑learning จะเป็นวิดีโอสั้นพร้อมแบบทดสอบออนไลน์ (ใช้เวลาประมาณ 1–3 ชั่วโมง ขึ้นกับประเภทใบอนุญาต) แนะนำให้เตรียมเครื่องที่ต่อเน็ตได้เสถียร, ตั้งใจดูเนื้อหาเต็ม และเตรียมเวลาเรียนแบบต่อเนื่องจะช่วยให้ทำแบบทดสอบผ่านง่ายขึ้น
Q: เป็นพาร์ทเนอร์ GrabCar อยากต่อใบขับขี่สาธารณะ ต้องเตรียมอะไรเพิ่มจากปกติ?
A: นอกจากเอกสารทั่วไป (ปชช., ใบขับขี่ส่วนบุคคล, ใบรับรองแพทย์) ยังต้องผ่านอบรมภาคทฤษฎี – ภาคปฏิบัติสำหรับขับขี่สาธารณะ เช่น เน้นจรรยาบรรณบริการ, กฎหมายพ.ร.บ., ภาษาอังกฤษเบื้องต้น และการดูแลผู้โดยสาร เพื่อให้ได้ใบขับขี่สาธารณะ (ใบ ท.) มาใช้กับ GrabCar/GrabTaxi